Biz news
PwC ชี้1ใน4ของเงินทุนธุรกิจร่วมลงทุน ในClimate Techเน้นเทคโนฯศักยภาพสูง

กรุงเทพฯ, 21 ธันวาคม 2565 – PwC เผยเทรนด์ Climate Techเป็นกระแสโลกที่น่าจับตาหลังรายงานพบเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ คิดเป็นมากกว่า 25% ของเงินทุนธุรกิจร่วมลงทุนในปี 2565โดยเงินระดมทุนส่วนใหญ่ เน้นลงทุนในเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการจัดเก็บคาร์บอนแต่ชี้ความท้าทายยังอยู่ที่จำนวนของสตาร์ทอัพคุณภาพในตลาด และแนวโน้มการลงทุนที่ลดลงของการระดมทุนในระยะเริ่มต้น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ PwC จัดทำรายงาน State of Climate Tech 2022 พบว่าเงินระดมทุนสำหรับเทคโนโลยีที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Technology)มีสัดส่วนคิดเป็นมากกว่าหนึ่งในสี่ของเงินทุก ๆ ดอลลาร์ที่ลงทุนในปี 2565 โดยอยู่ในระดับครึ่งบนของช่วง 20-30%ที่สังเกตได้ตั้งแต่ต้นปี 2561
ทั้งนี้ การลงทุนใน Climate Tech อยู่ที่ระดับ 1.5 ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อไตรมาส (ราว 5.2 ถึง 6.9 แสนล้านบาท) 1สอดคล้องกับช่วงครึ่งแรกของปี 2564 โดยมีเงินระดมทุนรวมตั้งแต่ต้นปี 2561 เป็นต้นมาที่ 260 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่า 50พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565
รายงานยังระบุด้วยว่า การปรับปรุงการกำหนดเป้าหมายของเงินทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซมลพิษได้มากที่สุดโดยในปี 2564 สตาร์ทอัพที่มีโซลูชันที่กำหนดเป้าหมายไปยังภาคอุตสาหกรรมที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซมลพิษที่ 85%ดึงดูดการลงทุนได้เพียง 39% แต่ในปีนี้ สตาร์ทอัพในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวกลับสามารถดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศได้ถึง 52% (1 อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 34.79 บาท ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2565)
นาย วิล แจ็คสัน มัวร์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจ ESG โกลบอล PwC ประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวว่า“เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบจริงครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยปัจจัยการรุกรานยูเครนของรัสเซียอัตราเงินเฟ้อ และการปรับฐานอย่างรวดเร็วในตลาดทุน ล้วนส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงทั้งสิ้น แต่ภารกิจ คือ
การสร้างโมเมนตัมเพื่อสร้างความน่าสนใจมากขึ้นในการดึงดูดการระดมทุนในระยะเริ่มต้นและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงสุดในการลดการปล่อยก๊าซมลพิษ”
ทั้งนี้ ความคึกคักของการลงทุนในเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของธุรกิจร่วมลงทุนนั้นยังคงตามมาด้วยแนวโน้มที่ไม่สดใสนักสามประการ ได้แก่
ประการที่หนึ่ง จำนวนและมูลค่ารวมของดีลที่ต่ำกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งโดยปกติแล้ว จะอยู่ในช่วงแรกสุดของการระดมทุน (early-stage funding) ได้ลดลงตั้งแต่ต้นปี 2564ซึ่งแนวโน้มการลงทุนที่ลดลงของการระดมทุนในระยะเริ่มต้นนี้แสดงให้เห็นถึงจำนวนของสตาร์อัพคุณภาพสูงที่สามารถก้าวสู่การระดมทุนในระยะถัด ๆ ไปที่อ่อนแอซึ่งนี่ยังถือเป็นปัจจัยที่ขัดขวางนักลงทุนจากการลงทุนในระดับสูงในปีถัด ๆ ไปในตลาด Climate Techแม้ว่าจะมีเงินรอลงทุนในระดับสูงก็ตาม
ประการที่สอง ในขณะที่ส่วนแบ่งการใช้จ่ายของธุรกิจร่วมทุนนั้นคงความแข็งแกร่งแต่เงินร่วมลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศที่ถูกใช้กลับลดลงโดยรวม ซึ่งการระดมทุนในรูปเงินสดในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2565 ลดลง30% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 เป็นผลมาจากการใช้เงินทุนของบริษัทที่ไม่มีการประกอบธุรกิจเป็นของตนเองแต่สร้างขึ้นมาเพื่อระดมเงินทุนไปซื้อบริษัทอื่นที่ไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Special Purpose Acquisition Company: SPAC) ที่มีมูลค่าสูงถึง 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ซึ่งถือเป็นความไม่ปกติเป็นวัฏจักร
ประการที่สาม ในขณะที่ความสอดคล้องกันของเงินลงทุนและศักยภาพของผลกระทบได้ปรับตัวดีขึ้นแต่ตลาดยังขาดประสิทธิภาพในการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยโซลูชันในการแก้ปัญหา เช่น
เทคโนโลยีลดเศษขยะจากอาหารและเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่(ซึ่งมีศักยภาพสูงสุดในการลดการปล่อยก๊าซมลพิษในบรรดาเทคโนโลยีที่ทำการวิเคราะห์)ยังคงได้รับเงินทุนในระดับที่ค่อนข้างน้อยเกินไป (underfunded)
แนวโน้มในระดับมหภาคจากภาครัฐและภาคเอกชนชี้ให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกและความต้องการเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้นซึ่งแม้ว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะสำหรับความต้องการนี้ในการผลักดันแนวโน้มการลงทุนที่เพิ่มขึ้นแต่ก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรมและโซลูชันต่าง ๆ ยกตัวอย่าง เช่น การดักจับคาร์บอน การกำจัดการใช้ประโยชน์ และการจัดเก็บ ที่เห็นการลงทุนที่เพิ่มขึ้น หลังจากการลงทุนและการเติบโตพอประมาณมาเป็นเวลาหลายปีการระดมทุนโดยรวมในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2565 นั้น ได้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าของปี 2564 แม้ว่าจะมีจำนวนดีลน้อยกว่าในปี2565 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ดีลร่วมทุนในระยะหลังกำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และขนาดของดีลโดยเฉลี่ยก็ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลาดยังคงมีขนาดเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยรวมและการคาดการณ์โดยนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปริมาณการกำจัดก๊าซคาร์บอนที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)
นาง เอ็มมา ค็อกซ์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจสภาพภูมิอากาศ โกลบอล PwC ประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวสรุปว่า“ในขณะที่สังคมกำลังต่อสู้กับวิธีการลดการปล่อยก๊าซมลพิษให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2573ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น และไม่ใช่แค่ในระดับสูงสุดเท่านั้นแต่ต้องกระจายไปทั่วทุกภาคอุตสาหกรรมและโซลูชันครอบคลุมสตาร์ทอัพที่มีขนาดและระดับของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่แตกต่างกันไป ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่าน เช่นการดักจับคาร์บอน ซึ่งตอนนี้ใกล้ หรือถึงจุดที่เติบโตเต็มที่ และพร้อมที่จะต้องมีการขยายขนาดต่อไปแล้ว”
ด้านนาย ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า “ในส่วนของประเทศไทยก็เช่นกันการลงทุนด้าน Climate Tech ส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปในลักษณะของเงินร่วมลงทุนใหม่ในเครื่องจักร อาคารหรือสิ่งก่อสร้างที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทางอ้อม มากกว่าการลงทุนในโซลูชันที่จะช่วยขับเคลื่อนการกำจัดคาร์บอนทางตรงเช่น การลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของภาคการผลิต เช่น เทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า หรือลดการปล่อยของเสียและการจัดตั้งอาคารสำนักงานประหยัดพลังงาน เป็นต้น
“อย่างไรก็ดี เราเห็นสัญญาณที่ดีจากภาครัฐที่มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้เอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล และปิโตรเคมี ได้มีการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในอนาคตเชื่อว่าน่าจะเห็นภาคเอกชนทั้งบริษัทขนาดเล็กและขนาดใหญ่ หันมาลงทุนใน Climate Techทั้งในส่วนของเทคโนโลยีเกิดใหม่และเทคโนโลยีปลายน้ำในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน จะเห็นว่ามีบริษัทไซต์ใหญ่หลายแห่งมีโครงการศึกษาเทคโนโลยี CCUS หรือ carbon capture, utilisation and storage กันบ้างแล้วเพราะในระยะต่อไปความเสี่ยงที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ จะเป็นสิ่งที่ธุรกิจไหนในโลกก็มองข้ามไม่ได้”