In Bangkok
ร่วมถกทักษะพื้นฐานที่ควรมีในมนุษย์เพื่อ เข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีคุณค่า
กรุงเทพฯ-(31 มี.ค. 66) รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นวิทยากรในเวทีเสวนาวิชาการทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ในเยาวชนและประชากรวัยแรงงานแห่งโลกยุคใหม่ ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ โดยมีวิทยากรร่วมอีก 3 ท่าน ประกอบด้วย คุณสิทธิชัย สุดสวาท ผู้อำนวยการกองแผนงานและสารสนเทศ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และคุณอัษฎากรณ์ ฉัตรานันท์ เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา
สำหรับวันนี้ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ร่วมกับธนาคารโลก จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษากับธนาคารโลก และเวทีเสวนาวิชาการทักษะพื้นฐานของทุนมนุษย์ในเยาวชนและประชากรวัยแรงงานแห่งโลกยุคใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสถานศึกษาและการพัฒนาขีดความสามารถของเยาวชนและแรงงานไทย สร้างความเข้าใจในยุทธศาสตร์และความท้าท้ายใหม่กับการพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงาน และเพื่อแลกเปลี่ยนให้ความสำคัญกับบทบาทของทักษะและการเรียนรู้ที่มีความจำเป็นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมจากภาคี
โลกทุกวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงและมีความไม่แน่นอนสูงมาก หรือหลายคนรู้จักในคำว่า “VUCA World” โดย VUCA เป็นคำย่อที่มาจาก 4 คำ ได้แก่ V-Volatility ความผันผวน U-Uncertainty ความไม่แน่นอน C-Complexity ความซับซ้อน และ A-Ambiguity ความคลุมเครือ ซึ่งในโลกของการพัฒนาทุนมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน คือทักษะความสามารถหรือแม้แต่ความต้องการของตลาดแรงงานก็พบว่าถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเราไม่สามารถที่จะพึ่งพาแรงงานที่รู้มีความรู้เพียงแค่ทักษะใดทักษะหนึ่งได้แล้ว จึงเป็นที่มาของการเสวนาของวิทยากรทั้ง 4 ท่าน ในครั้งนี้
คุณสิทธิชัย (กระทรวงแรงงาน) กล่าวว่า กระบวนการพัฒนาคนต้องเริ่มต้นจากต้นน้ำ กลางน้ำ และไปสู่ปลายน้ำ ซึ่งกระบวนการต้นน้ำคือการเริ่มต้นที่ "การศึกษา" ที่ผ่านมาปัญหาการศึกษาในเมืองกับการศึกษาในชนบทจะมีช่องว่างอยู่ค่อนข้างมาก แต่ช่วงโควิดจะเห็นได้ว่าดิจิทัลหรืออินเทอร์เน็ตสามารถลดช่องว่างดังกล่าวให้น้อยลงได้ อย่างไรก็ตามเมื่อจบกระบวนการศึกษาจะต้องเข้าสู่กระบวนการทำงาน ซึ่งหลายครั้งนายจ้างไม่รู้เลยว่าเด็กที่จบมาจะทำงานได้จริงหรือเปล่าแม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีผลการเรียนที่ดี จึงอาจกล่าวได้ว่ากระบวนการศึกษายังไม่ก้าวทันต่อการพัฒนาคนเข้าสู่กระบวนการทำงาน ฉะนั้น ภาคการศึกษาอาจจะต้องมาปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับทักษะที่นายจ้างต้องการ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล การเจรจา เป็นต้น ทั้งนี้ การพัฒนาคนรวมถึงการสร้างทักษะใหม่ ๆ เป็นเรื่องที่จำเป็นและต้องทำให้ต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตภาคการศึกษาตลอดจนทุกภาคส่วนอาจจะต้องมีการช่วยเหลือกันเพื่อให้คนมีอาชีพ เป็นการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีการจ้างงานอย่างมีคุณค่า
คุณอัษฎากรณ์ (อบจ.พะเยา) กล่าวว่า กรณีพะเยานั้นเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ซึ่งปัญหาที่ประสบคือสถานการณ์โควิดทำให้คนเกิดการย้ายถิ่นกลับมาบ้านเกิดของตัวเอง โดยหลายคนล้วนมีทักษะติดตัวมาจากการทำงานในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้จักชุมชนของตนเองดีพอ กลับมาแล้วก็ปรับตัวไม่ได้ ไม่สามารถที่จะอยู่รอดในพื้นที่ที่ไม่มีการจ้างงาน เพราะสังคมที่นี่เป็นเกษตรกรรม มีความรู้แต่ไม่สามารถที่จะกลับมาดำรงชีพได้ ต้องประกอบอาชีพที่ไม่ได้ใช้ฝีมือมากนัก ฉะนั้น การมีความรู้ว่าชุมชนตัวเองมีภูมิรู้แบบไหนเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งทักษะที่จำเป็นจึงไม่ใช่การอ่านออกเขียนได้ ไม่ใช่ทักษะฝีมือระดับสูง แต่คือ "ทักษะชีวิต" วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้มาร่วมคิด เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ซึ่งเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของความเป็นคนได้
รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวว่า ทุกวันนี้ต้องดูว่าสถานศึกษา หรือศูนย์ฝึกอาชีพต่าง ๆ จะฝึกฝนทักษะพื้นฐานอะไรให้แก่ผู้เรียน ซึ่งจะต้องไม่ขายฝัน คือต้องดูว่าทักษะพื้นฐานจะถูกต่อยอดไปต่อได้หรือไม่ โดยเราต้องการฝึกทักษะให้เขาสามารถที่จะจัดการกับชีวิตเขาได้ ปรับตัวได้ และต้องดูว่าคนจ้างหรือตลาดต้องการคนที่มีทักษะแบบใด สุดท้ายต้องวนกลับไปดูว่าสภาพแวดล้อมหรือบรรทัดฐานของสังคมใส่ใจกับเรื่องอะไรด้วย ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้มีการสอดแทรกความสนุกและทักษะอื่น ๆ เข้าไปในการเรียนการสอนของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ After School หรือ Saturday School นอกจากนี้ ยังมีการประกบคู่อาสาสมัครสาธารณสุขและอาสาสมัครเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนทักษะกัน โดยเสริมทักษะดิจิทัลให้กับอาสาสมัครสาธารณสุข และเสริมทักษะด้านสุขภาพ หรือ care giver ให้แก่อาสาสมัครเทคโนโลยีในชุมชนด้วย อย่างไรก็ตาม การจะนำทักษะพื้นฐานต่าง ๆ เข้าไปในชีวิตคน เราต้องให้เวลากับการทำความเข้าใจเพื่อออกแบบให้เหมาะกับเขาและพันทักษะเหล่านี้ให้เข้าไปอยู่กับชีวิตของเขาจริง ๆ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
ดร.ชาติชาย (กลุ่มเซ็นทรัล) กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาคธุรกิจอย่างเราหาคนทำงานไม่ได้ ซึ่งในความหมายก็คือ "หาคนทำงานที่เหมาะสม เหมาะกับตลาด เหมาะกับงานที่เกิดขึ้นไม่ได้" ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าอุปสงค์และอุปทานไม่ตรงกัน เราผลิตคนออกมาในระดับอุดมศึกษาเพราะว่าค่านิยมเดิมของเรายังอยู่ที่ว่าต้องจบปริญญาตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายสังคมไทยอย่างยิ่งที่ทำอย่างไรเราจะเปลี่ยนทัศนคติหรือมุมมองของคนว่ามหาวิทยาลัยหรืออุดมศึกษาก็ดี แต่จะดีกว่าและตอบโจทย์ประเทศได้มากขึ้นถ้าให้ความสำคัญกับคนที่มาจากสายอาชีพด้วย ทั้งนี้ ทุนมนุษย์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่อยู่ในเมือง อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่อยู่ในชนบท และสุดท้ายกลุ่มที่ปฏิเสธไม่ได้และทิ้งไม่ได้ก็คือกลุ่มที่อยู่ชายขอบ ซึ่งหากจะบริหารจัดการปัญหาเรื่องของทักษะในการทำงานของคนในประเทศ เราจะใช้มาตรฐานเดียวต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ต้องเป็นการออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละกลุ่ม ซึ่งไม่ใช่แค่หน้าที่ของสถาบันการศึกษา หรือผู้ปกครองและสถาบันครอบครัว ที่จะต้องผลิตคนดีและก็คนเก่งให้เรา แต่ภาคเอกชนหรือสถานประกอบการก็มีบทบาทใหม่ที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมเติมเต็มทักษะให้คนในสังคมด้วย
