Think In Truth

'รัฐบาลเชียงกง'คนหน้าเดิมเติม'เพื่อไทย' โดย : หมาเห่าการเมือง



ตามพระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 140 ตอนพิเศษ 214 ง 2 กันยายน  ประกาศ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี พระบามสมเด็จพระมหาปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ประกาศว่า ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 22 สิางหาคม 2566 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของ รธน. จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ชุด เศรษฐาหนึ่ง ที่นักวิจารณ์การเมืองได้ตั้งชื่อไว้ล่วงหน้าคือ “รัฐบาลอึ่งไข่”  

“อึ่งไข่” ถึงแม้จะสื่อได้ตรงตามลักษณะของรัฐบาลที่ต้องทำตามใจของลูกอึ่ง แต่นักสื่อการการเมืองอย่างอาจารย์นันทนา นันทวโรภาส มองว่าเป็นภาษาอีสานที่สื่อเข้าใจยาก เลยของเรียกเป็น “รัฐบาล เชียงกง”

“รัฐบาลเชียงกง” อาจารย์นันทนา อธิบายว่า เป็นครม.ที่มีรายชื่อรัฐมนตรีชื่อเดิมกับรัฐมนตรีจากรัฐบาลชุดเดิม ที่มีพรรคเพื่อไทยเข้ามาเพิ่มเท่านั้นเอง

หากจาพิจารณาจากรายนามผู้ได้รับการโปรดเกล้าเป็นรัฐมนตรี ชุดรัฐบาลเศรษฐา 1 หรือรัฐบาลเชียงกงนี้ก็ประเมินได้ว่า เป็นรัฐบาลที่วางตัวบุคคลที่ดี สร้างความเชื่อมั่นในในคุณภาพในการทำงาน และสนองความสำเร็จของนโยบายได้มากกว่า 70% ที่สังคมรู้สึกว่าไม่ผ่านเป็นส่วนที่ด่างพล้อยของรัฐบาล ประมาณ 30% ซึ่งนั่นก็มาจากการประมาณการจากสื่อวิจารณ์การเมืองที่อยู่ในทั้งในและภายนอกประเทศ

รายชื่อรัฐมนตรีที่น่าสนใจและเป็นจุดที่สังคมมองว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง  ก็มีกันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามโผ ตามที่สื่อต่างๆ พยายามประมวลออกมาเป็นระยะๆ

ครม.ชุดนี้ไม่มีชื่อนายพิชิต ชื่นบาน ทนายความประจำตัว ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตามโผล่าสุด ซึ่งมาทราบภายหลังจากปากนายพิชิตเองว่า ไม่ขอรับตำแหน่งรัฐมนตรี และตำแหน่งใดๆ การแสดงออกอย่างมีความรับผิดอบของนายพิชิต ถึงแม้ว่าจะได้รับการปกป้องจากนายวิษณุ เครืองาม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมว่า นายพิชิตมีคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ แต่เขาเองก็ไม่ขอรับตำแหน่ง นั่นเป็นความรับผิดชอบต่อรัฐบาล ที่จะไม่ต้องเป็นตำบลกระสุนตกให้คณะรัฐมนตรีลำบากใจ  ที่จะต้องคอยแบกรับช่วยกันปกป้อง งานนี้นายพิชิตได้รับเสียงปรบมือให้กำลังใจและยกนิ้วให้

ที่รู้สึกหนักใจแทน คือท่านบิ๊กทิน เพราะท่านมีความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนักกับกองทัพมาก ในวันที่ คสช.เข้ายึดอำนาจการปกครอง ท่านก็ได้รับการปฏิบัติจากกองทัพโดยนำหน่วยคุ้มกัน ไปนำตัวท่านจากบ้าน ที่จังหวัดขอนแก่น คุ้มกันท่านไปจนถึงราชบุรี และคอยพูดกดดันท่าตลอดเส้นทาง  ท่านจึงได้ถูกกักบริเวณที่ราบุรีอยู่หลายวัน มาวันนี้ท่านได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมท่านคงลำบากใจไม่น้อย ไหนจะต้องระแวงกองทัพที่ยังคงอยากจะรักษาประเพณีของกองทัพ ไหนจะต้องสร้างความไว้ใจกับคนที่ไปควบคุมตัวท่านจากขอนแก่นมาราบุรี ที่จะคอยระแวงว่าท่านจะเอาคืนไหมเมื่อมาเป็นผู้บังคับบัญชา ถึงอย่างไรก็เชื่อว่าท่านมีความรู้ความสามารถมากพอที่จะบริหารกระทรวงกลาโหมได้ และดำเนินกิจการของกองทัพไปได้ด้วยความเรียบร้อยและสร้างความไว้ใจ พึงพอใจแก่บุคคลากรของกองทัพได้  ท่านสุทิน คลังแสง ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ภาคเอกชนได้รับเกียรติดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อีกอย่างหนึ่งกองทัพก็คงจะมองการเมืองเปลี่ยนไปแล้ว  การเมืองการปกครองประเทศไทย ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน การที่ท่านสุทิน คลังแสงได้รับตำแหน่งครั้งนี้ ก็เป็นไปตามกลไกลของระบอบการปกครอง ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ที่มาจากการสรรหาตามระบบของรัฐสภา

การที่ท่านสุทินได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นการรักษาหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้อย่างชัดเจน

อีกท่านหนึ่งที่น่าสนใจ คือท่านเสริมศักดิ์ พงษ์พาณิช ที่จริงแล้ว ท่านเติบโตมาจากสายงานปกครองกระทรวงมหาดไทย แต่คราวนี้ท่านเองได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม โดยความรู้ความสามารถของท่านเองก็เชื่อว่า ไม่มีปัญหากับฝีมือการบริหารกระทรวงขั้นเทพอย่างท่าน แต่งานซอฟต์พาวเวอร์ที่ท่านจะต้องไปสร้างให้สังคมโลกได้รับรู้และน่าเชื่อถือนั้น เป็นสิ่งที่ท่านอาจจะต้องอาศัยแม่บ้านของท่านเป็นสำคัญ ก็ถือว่าท่านมีทรัพยากรบุคคลพร้อมในการทำงาน แต่ก็แค่เป็นห่วง กลัวลูกน้องในกระทรวงจะกระซิบกระซาบกันว่า “คุณนายรัฐมนตรี จุ้นจ้านงานกระทรวง” นั่นก็เป็นเพียงความกังวลเล็กๆ เท่านั้น เพราะคุณเจ้แดง หรือคุณนายระเบียบรัตน์ ท่านเป็นแม่บ้านแม่เรือน ถึงจะค่อนข้างเนี๊ยบกับรูปแบบทางวัฒนธรรม แต่ท่านก็มีไอเดียและวิธีการที่หลากหลาย ที่พร้อมจะเสริมงานของท่านเสริมศักดิ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้นนักวิจารณ์การเมืองรวมทั้งนักข่าวหลายท่านจะมองว่า เป็นรัฐมนตรีปลอบใจ ที่บุตรชายถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ก็ตาม แต่ด้วยองคาพยบของท่านเสริมศักดิ์ และคุณพี่แดง หรือเจ้แดง ถือว่าคุณภาพคับแก้วครับ

เมื่อหันมามองกระทรวงมหาไทย คุณอนุทิน ชาญวีระกุล ก็ถือว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ในการบริหารราชการในหลายกระทรวง มาแล้ว อีกทั้งยังมีอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือท่านชวรัตน์ ชาญวีระกุล เป็นบิดา ดังนั้นการกำกับดูแลข้าราการกระทรวงมหาดไทย จึงไม่ค่อยจะเป็นที่กังวลกับท่านอนุทินมากนัก โดยเฉพาะมีคุณเกรียง กัลป์ตินันท์ จากพรรคเพื่อไทยมาเป็น รมช. และนายทรงศักดิ์ ทองศรี มาเป็น รมช. ทั้งสองคนนี้ถือว่ามีฝีมือในการบริหาร และเชื่อมั่นได้ โดยเฉพาะคุณเกียง ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการตัดสินใจที่ดี ซึ่งจะทำให้งานกระทรวงมหาดไทยสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี ส่วนคุณชาดา ไทยเศรษฐ์ นั้นก็ถือว่าเป็นคนที่ใจถึง พึ่งได้ อาจจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนักในสายตาของนักข่าวสายการเมือง แต่ด้วยสถานะ ตำแหน่งที่ได้รับ เชื่อว่าคุณาดา ก็จะสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี เพราะเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาเป็นคนของจังหวัดอุทัยธานีมาหลายสมัย คราวนี้ก็จะเป็นโอกาสที่เขาจะทำงานเพื่อเป็นคนของชาติ ก็ควรให้โอกาสในการแสดงฝีมือในการดำรงตำแหน่ง รมช. กระทรวงมหาดไทย

อีกหนึ่งกระทรวง คือกระทรวงดีอีเอส ซึ่งมีหลายคนมองว่า ท่านประเสริฐ จันทร์รงทอง เป็นมนุษย์โลเท็ค ซึ่งนั่นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเครือข่ายของคุณประเสริฐในวงการไอที โดยเฉพาะคนรอบตัวของคุณประเสริฐถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีสูงมาก มีความรู้ความสามารถด้านโครงข่าย ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์ไคลเอ็นด์ รวมถึงกระบวนการให้บริการและนักกฏหมายที่เกี่ยวข้อง คุณประเสริฐเพียงเอาศาสตร์ด้านการบริหารไปจับเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายเท่านั้น กระทรวงนี้ไม่น่าจะเป็นที่เป็นห่วงมากนัด

กระทรวงศึกษาธิการ ก็เป็นกระทรวงหนึ่งที่เป็นความห่วงใย กังวลต่อสังคม เพราะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาคือท่าน พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ ซึ่งการบริหารกระทรวงศึกษา หลายคนมองว่าเป็นกระทรวงที่บริหารยาก เพราะบุคลากรที่เป็นข้าราการที่มีข้อมูลความรู้และการคิดวิเคราะห์ที่สลับซับซ้อน แต่ก็นั่นแหละ ในกระทรวงศึกษาธิการเอง ข้าราชการในกระทรวงเขาก็เล่นการเมืองภายในของเขาเอง ดังนั้นถ้าศึกษาภายในกระทรวงแล้ว สนับสนุนการเมืองในกระทรวงศึกษา โดยให้ข้าราการมีเวทีคุรุสภาที่สมบูรณ์ มีความเป็นระบบ เป็นธรรม มีการบริหารสภาที่สะท้อนถึงความต้องการของบุคลากรครูที่แท้จริง แล้วจังสิ่งที่สะท้อนออกมาเป็นนโยบาย นั่นคือก้าวแรกที่จะบริหารกระทรวงศึกษาได้ไม่ยาก หลังจากนั้นก็ใช้กลไกลของการเมืองในกระทรวง ในการวางบุคลากรในตำแหน่งต่างๆ ที่สนองนโยบายของรัฐได้ ฟื้นฟูองค์การค้าให้มีประสิทธิภาพ สร้างคุณค่าทางวิชาการและแข่งขันทางมูลค่าทางวิชาการ อย่างไปแตะคุณภาพการทำงานของคนในกระทรวง เพราะเขาจะลงเวลาทำงาน เช้า แต่เลิกสามทุ่ม เพื่อเพิ่มรายได้จากการทำงานให้มากขึ้น(เวลา งานเท่าเดิม) เท่านี้กระทรวงก็เดินได้แล้ว ส่วนการเมืองจะแต่งตั้งใคร จะวางคนของตนเองไว้ที่ใดนั้น  ก็อาศัยตามอำนาจ รมต. ที่มีดำเนินการ เชื่อว่างานนี้ท่านเพิ่มพูนก็คงได้วางกำลังของตนเองไว้เต็มพื้นที่ เพื่อกวาด สส. เพิ่มขึ้นในสมัยหน้า อย่างแน่นอน

ว่าไปแล้ว การวางตัวของ ครม.ชุดนี้ ก็ถือว่า วางตัวได้ดีและคาดหวังต่อผลสัมฤทธิ์ของงานตามนโยบายได้มากกว่า 70% ถึงแม้จะมีบางท่าน และบางกระทรวง ที่ดูเหมือนเป็นรัฐมนตรีรางวัลปลอบใจ แต่ก็เชื่อว่า ความกังวลเหล่านนั้น จะต้องถูกแก้ไขด้วยตัวของ รมต.เองหรือไม่ก็กติกาของคณะรัฐมนตรีที่วางกรอบไว้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของคณะรัฐมนตรี