Think In Truth

'ประเทศไทย'เปลี่ยนไป...ไม่เหมือนเดิม โดย : หมาเห่าการเมือง



จากผลการเลือกตั้งซ่อมที่ระยอง เขต 3 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2566 พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 39,296 คะแนน ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้คะแนน 26,466 คะแนน ปัจจัยที่ทำให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ สรุปได้ดังนี้

  1. พรรคก้าวไกลมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งในจังหวัดระยอง โดยในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 พรรคก้าวไกลสามารถชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 3 ได้ถึง 2 สมัยติดต่อกัน นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังมีเครือข่ายภาคประชาชนที่เข้มแข็งในจังหวัดระยอง ซึ่งช่วยในการรณรงค์หาเสียงให้กับพรรค
  2. พรรคประชาธิปัตย์ส่งผู้สมัครที่ไม่เป็นที่รู้จัก นายแพทย์บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้สมัครหน้าใหม่ในวงการการเมือง และไม่เป็นที่รู้จักในจังหวัดระยองเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นที่รู้จักในจังหวัดระยองเป็นอย่างดี จากการเป็นอดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว
  3. กระแสความนิยมของพรรคก้าวไกลยังคงมีอยู่ แม้พรรคก้าวไกลจะสูญเสียคะแนนเสียงไปบ้างในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 แต่กระแสความนิยมของพรรคยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ กระแสความนิยมของพรรคก้าวไกลนี้ น่าจะมีส่วนช่วยให้พรรคชนะเลือกตั้งซ่อมที่ระยองในครั้งนี้
  4. จากคะแนนที่ลงให้กับพรรคก้าวไกลได้ถึง 39,296 คะแนน จากเดิมที่เคยได้ 29,000 คะแนน ทั้งที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ 65,000 คน จากเดิมการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 มีผู้ใช้สิทธิ์ลงคะแนน 95,000 คน นั่นหมายถึงผู้ลงคะแนนจากพรรคเพื่อไทยที่ผิดหวังจากการเปลี่ยนขั้วจับมือกับพรรครัฐบาลเดิมจัดตั้งรัฐบาล รวมกับกลุ่มเลือกพรรคเพื่อไทยเดิมที่ยังคงจงรักภักดีกับพรรคเพื่อไทย ที่ไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคที่ครอบฐานเสียงในจังหวัดระยองมายาวนาน แต่พรรคประชาธิปัตย์ เป้นพรรคที่เข้าไม่ถึงประชาชนระดับชุมชนนอกเมือง

นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระแสการต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งอาจทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนเลือกพรรคก้าวไกล เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านรัฐบาล

ในการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดระยองครั้งนี้ ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งเลย ถ้าหากพรรคร่วมรัฐบาลส่งตัวแทนลงสมัครรับการเลือกตั้งพรรคฝ่ายรัฐบาล จะมีโอกาสชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ หากสามารถส่งผู้สมัครที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในจังหวัดระยองมาลงแข่งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสามารถดึงคะแนนเสียงจากฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงในจังหวัดระยองได้

อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยหรือพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงบางประการ เช่น กระแสความนิยมของพรรคก้าวไกลในจังหวัดระยอง ซึ่งยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ พรรคฝ่ายรัฐบาลยังต้องเผชิญกับกระแสการต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนเลือกพรรคก้าวไกล เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านรัฐบาล

ผลการเลือกตั้งซ่อมที่ระยองในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพรรคก้าวไกลในจังหวัดระยอง และอาจเป็นสัญญาณว่าพรรคก้าวไกลยังคงมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งในภาคตะวันออกของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม พรรคฝ่ายรัฐบาลก็มีโอกาสชนะการเลือกตั้งครั้งนี้เช่นกัน หากสามารถส่งผู้สมัครที่แข็งแกร่งลงแข่ง และสามารถดึงคะแนนเสียงจากฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ได้

สิ่งหนึ่งที่เป็นดรรชนีชี้ให้มองไปข้างหน้าได้ว่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยไม่เหมือนเดิม เจตคติทางการเมืองของประชาชนไทยได้เปลี่ยนไปจากเดิม การเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดระยองครั้งนี้อยู่ในเขต อำเภอแกลง และอำเภอเขาะเมา ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ทำสวยยางพารา สวนผลไม้ ปลูกไม้เศรษฐกิจประเภทไม้พลังงาน ทำไร่มันสำปะหลัง และมีผุ้ลงสมัครรับการเลือกตั้ง 3 พรรค แต่ที่แข่งขันกันหนัก คือ พรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่มีพรรคร่วมรัฐบาล จึงสามารถประเมินได้ว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ จะมีฐานการประเมินในการตัดสินใจของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไป เพราะไม่ต้องเอาสถานะของพรรคร่วมรัฐบาลมาตัดสินใจ เพราะถ้ามีตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลลงสมัครรับการเลือกตั้ง อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เนื่องจากเลือกไปแล้ว ยังไง สส. ที่ได้ก็อยู่ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการผลักดันงบประมาณลงในเขตพื้นที่การเลือกตั้งได้ง่ายขึ้น

การที่การเลือกตั้งซ่อม เขต 3 จังหวัดระยอง ไม่มีตัวแทนของพรรคร่วมรัฐบาลลงสมัครรับการเลือกตั้ง ก็ทำให้สามารถประเมินถึงการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า ว่ากระแสความนิยมของพรรคก้าวไกล ยังคงมีความแข็งแกร่ง ที่จะสามารถนะการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้าได้ และอาจจะชนะแบบแลนด์สไลด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลกังวล และหาทางในการที่จะสร้างความหน้าเชื่อถือให้ประชานกลับมาสู่ความศรัทธาอย่างเดิม แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะง่าย เพราะทัศนคติทางการเมืองของประชาชนก็เปลี่ยนไปแล้ว ช่วงเวลา 4 ปีต่อไปนี้ พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้สู้กับพรรคก้าวไกล เพราะถึงตั้งหน้าตั้งตาที่จะสู้กับพรรคก้าวไกล ก็ยิ่งแพ้ เพราะพรรคก้าวไกลไม่ได้ออกแรงในการต่อสู้เลย ดังนั้นพรรคร่วมรัฐบาลเศรษฐา1 ต้องไม่คิดสู้กับพรรคก้าวไกล แต่ให้ใช้อำนาจที่ตนมีเวลานี้ ในการต่อสู้กับตัวเอง ต่อสู้กับความเสื่อมศรัทธาของประชาชน ที่เบื่อหน่ายเกลียดชังในการไม่รักษาคำพูด ดังนั้น เมื่อตนไม่รักษาสัจจะเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองแล้ว ก็ต้องใช้อำนาจ เพื่อสนองความต้องการของประชาชน อย่างน้อยก็ต้องทำตามคำพูดที่ได้ให้ไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียง

ต่อให้ฝ่ายรัฐบาล มุ่งจะใส่ร้ายพรรคก้าวไกล ดีสเครดิตด้วยวิธีต่างๆ หรือกลั่นแกล้งทางการเมือง รวมทั้งพยายามยัดข้อหาเพื่อยุบพรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้ทำให้พรรคก้าวไกลพ่ายไปพรรคฝ่ายร่วมรัฐบาลเลย เพราะคะแนนอยู่กับประชาชน ยุบพรรคก้าวไกลได้ เขาก็ไม่เลือกพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ดี ประชาชนและประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว ตามที่พรรคก้าวไกลได้สร้างแคมเปญไว้ตอนหาเสียง “เลือกก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” และตอนนี้ประเทศไทยได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ประเทศไทยได้เปลี่ยนทัศนคติทางการเมืองของประชาชนจากความคิดเชิงอุปถัมภ์ เป็นความคิดทางการเมืองแบบมีเหตุมีผล Reasonable Politically หากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ปรับวิธีการทางการเมือง ก็เชื่อได้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค จะพบกับวิกฤติทางการเมือง และอาจจะสูญสิ้นทางการเมืองไปเลยก็เป็นได้ ถ้าหากจะยังคงใช้กระบวนการยึดอำนาจประชาชนด้วยการทำรัฐประหาร ก็ยิ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งอาจจะถึงขั้นปฏิวัติประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ดังนั้นพรรคร่วมรัฐบาล จะตัดสินใจดำเนินการทางการเมือง จำเป็นต้องทบทวนไตร่ตรองให้ดี เพราะการตัดสินในการดำเนินการทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล ยืนอยู่ ณ จุดวิกฤติแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องใช้ความรอบรอบครอบในการบริหารนโยบายสาธารณะ หวังว่ารัฐบาลจะไม่ตัดสินใจเชิงนโยบายที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่