Think In Truth

มติครม.เปิดซิง'ชัวร์หรือมั่วนิ่ม'กับนโยบาย โดย: หมาเห่าการเมือง



หลังจากที่มีการประชุม ครม. ครั้งแรก รัฐบาลเศรษฐา1 ก็คลอดมติ ครม. รวมทั้งคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี ออกมาเพื่อการดำเนินการของรัฐบาล เป็น เป้าหมายและทิศทางของรัฐบาล ซึ่งถือว่า มติ ครม. และคำสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ออกมาจากการประชุม ครม. ครั้งแรก เป็นมาตรการเร่งด่วนในการดำเนินการ พอรัฐบาลประกาศ มติ ครม.และคำสั่งการนายกรัฐมนตรีออกมาเพื่อดำเนินการเป็นมาตรการเร่งด่วน กลับกลายเป็นกระแสย้อนกลับเป็นทัวร์ลงรัฐบาล จากผู้ได้รับผลกระทบจากมติ ครม. และคำสั่งการนายกรัฐมนตรีทันที

มาตรการเร่งด่วนที่รัฐบาลควรต้องดำเนินการเพื่อลดภาระและผ่อนคลายความเดือดร้อนของประชาชน ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล นั้น เคยได้นำเสนอให้กับสาธารณะและรัฐบาลไปแล้วครั้งหนึ่ง ที่นำเสนอให้ลำดับความสำคัญในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่เป็นมาตรการเร่งด่วน และได้เรียงลำดับความสำคัญให้ไว้ดังนี้ 1. ลดค่าไฟฟ้า 2. ลดราคาน้ำมันและพลังงานหุงต้ม 3. ดำเนินการแจกเงินดิจิทัล 10000 บาท 4. ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งนั่นเป็นมาตรการที่รัฐบาลจะได้ดำเนินการตามที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน

แต่มติ ครม. และคำสั่งการของนายกรัฐมนตรีออกมาจากการประชุม ครม. ครั้งแรก ที่เป็นกระแสตีกลับมาก คือ นโยบายจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 ครั้งต่อเดือน และการแจกเงินดิจิทัล 10000 บาท โดยเฉพาะการจ่ายเงินเดือนข้าราการ 2 ครั้งต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่นโยบายที่พรรคเพื่อไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลใดได้ประกาศในการหาเสียไว้เลย ซึ่งเราต้องนำประเด็นเหล่านี้มาวิเคราะห์ว่า รัฐบาลออกมาตรการออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นั้นเป็นการออกมาตรการแบบชัวร์หรือมั่วนิ่ม เป็นไปตามหลักการทางนโยบายสาธารณะหรือไม่ ซึ่งก่อนอื่นก็คงต้องทำความเข้าใจในหลักการของกระบวนการนโยบายสาธารณะเสียก่อนว่า กระบวนการนโยบายสาธารณะนั้นเป็นอย่างไร??....

กระบวนการนโยบายสาธารณะ (Public Policy Process) หมายถึง กระบวนการที่รัฐบาลกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของประชาชน กระบวนการนี้ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

  1. การกำหนดวาระนโยบาย (Agenda Setting) เป็นขั้นตอนที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจกำหนดประเด็นปัญหาที่มีความสำคัญและควรได้รับการแก้ไขเป็นนโยบายสาธารณะ ขั้นตอนนี้อาจเกิดขึ้นได้หลายช่องทาง เช่น สื่อมวลชน องค์กรภาคประชาสังคม หรือกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
  2. การจัดทำนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ทางเลือกนโยบาย และกำหนดนโยบายสาธารณะที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของประชาชน ขั้นตอนนี้อาจใช้ผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาวิจัย หรือกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน
  3. การอนุมัตินโยบาย (Policy Adoption) เป็นขั้นตอนที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจอนุมัตินโยบายสาธารณะให้มีผลบังคับใช้ ขั้นตอนนี้อาจต้องผ่านกระบวนการทางการเมือง เช่น การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐสภา
  4. การบังคับใช้นโยบาย (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายสาธารณะที่กำหนดไว้ ขั้นตอนนี้อาจต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ในสังคม
  5. การประเมินผลนโยบาย (Policy Assessment) เป็นขั้นตอนที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจประเมินผลว่านโยบายสาธารณะนั้นมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ขั้นตอนนี้อาจใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์หรือข้อมูลจากภาคส่วนต่างๆ ในสังคม

นอกจากนี้ กระบวนการนโยบายสาธารณะยังสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนย่อยๆ ได้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับแนวทางการศึกษาและบริบทของแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น กระบวนการนโยบายสาธารณะอาจแบ่งออกเป็นขั้นตอนย่อยๆ ดังนี้

    • ขั้นตอนก่อนการกำหนดวาระนโยบาย (Pre-Agenda Setting) เป็นขั้นตอนที่ปัญหาเริ่มก่อตัวขึ้นและเริ่มมีการพูดถึงในสังคม
    • ขั้นตอนระหว่างการกำหนดวาระนโยบาย (Mid-Agenda Setting) เป็นขั้นตอนที่รัฐบาลเริ่มให้ความสนใจกับปัญหาและเริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหา
    • ขั้นตอนหลังการกำหนดวาระนโยบาย (Post-Agenda Setting) เป็นขั้นตอนที่รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

กระบวนการนโยบายสาธารณะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการนี้ ปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ บริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมไปถึงอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ ในสังคม

การจัดทำนโยบายสาธารณะเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของประชาชน ก่อนที่จะจัดทำนโยบายสาธารณะ จำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้นโยบายสาธารณะที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของประชาชน

การเก็บรวบรวมข้อมูลสามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น

    • การสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของประชาชน เพื่อศึกษาความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาและความต้องการ
    • การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาและทางเลือกนโยบาย
    • การศึกษาวิจัย เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทดลอง การสังเกต การสัมภาษณ์ การศึกษาวิจัยจะช่วยให้ผู้จัดทำนโยบายสามารถเข้าใจปัญหาและทางเลือกนโยบายได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้านจะช่วยให้ผู้จัดทำนโยบายสามารถกำหนดนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย

การรับฟังความเห็นมหาชน (Public Participation) เป็นกระบวนการที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะ การรับฟังความเห็นมหาชนมีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ ดังนี้

    • ช่วยให้รัฐบาลเข้าใจปัญหาและความต้องการของประชาชน การรับฟังความเห็นมหาชนจะช่วยให้รัฐบาลเข้าใจปัญหาและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยในการกำหนดนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย
    • สร้างความชอบธรรมให้กับนโยบายสาธารณะ การรับฟังความเห็นมหาชนจะช่วยให้ประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของนโยบายสาธารณะ ซึ่งจะช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับนโยบายสาธารณะและทำให้ประชาชนร่วมมือในการปฏิบัติตามนโยบาย
    • ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางสังคม การรับฟังความเห็นมหาชนจะช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางสังคมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

เมื่อท่านผู้อ่านได้เข้าใจในกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบคร่าวๆ แล้ว เราก็ลองมาพิจารณา มติ ครม.เศรษฐา1 และคำสั่งการของนายกรัฐมนตรีซึ่งถือว่าเป็นนโยบายสาธารณะที่รัฐบาลกำหนดในการดำเนินการซึ่งมีประาชนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกับรัฐบาล เป็นไปตามหลักการของกระบวนการนโยบายสาธารณะหรือไม่??. และเมื่อออกมาตรการตามมติ ครม. และคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี และทำไมจึงมีกระแสคัดค้านหรือไม่ตอบรับต่อนโยบายของรัฐบาล

การแบ่งจ่ายเงินเดือนเดือนละสองครั้งและนโยบายเงินดิจิทัลของรัฐบาลเศรษฐา1 สอดคล้องกับกระบวนการนโยบายสาธารณะในบางขั้นตอน ดังนี้

    • การกำหนดวาระนโยบาย นโยบายทั้งสองเป็นนโยบายที่มีความสำคัญและควรได้รับการแก้ไขเป็นนโยบายสาธารณะ นโยบายการแบ่งจ่ายเงินเดือนเดือนละสองครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนและช่วยบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ส่วนนโยบายเงินดิจิทัลมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีดิจิทัล
    • การจัดทำนโยบาย รัฐบาลได้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนที่จะกำหนดนโยบายทั้งสอง ตัวอย่างเช่น รัฐบาลได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลดีและผลเสียของการแบ่งจ่ายเงินเดือนเดือนละสองครั้ง และรัฐบาลได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีเงินดิจิทัล
    • การอนุมัตินโยบาย นโยบายทั้งสองได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีออกมาเป็นมติ ครม. ซึ่งแสดงให้เห็นว่านโยบายทั้งสองมีกระบวนการทางการเมืองที่โปร่งใสและได้รับการยอมรับจากประชาชน

อย่างไรก็ตาม นโยบายทั้งสองยังมีข้อโต้แย้งหรือไม่ตอบรับ มีกระแสคัดค้านและโต้แย้งบางประการที่ไม่สอดคล้องกับกระบวนการนโยบายสาธารณะ ดังนี้

    • การรับฟังความเห็นมหาชน นโยบายทั้งสองไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายอย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น นโยบายการแบ่งจ่ายเงินเดือนเดือนละสองครั้งไม่ได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนอย่างเป็นระบบ ส่วนนโยบายเงินดิจิทัลได้เปิดให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีเงินดิจิทัล แต่ไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบายเงินดิจิทัล
    • ความชอบธรรม นโยบายทั้งสองอาจไม่ได้รับความชอบธรรมจากประชาชนบางกลุ่ม ตัวอย่างเช่น นโยบายการแบ่งจ่ายเงินเดือนเดือนละสองครั้งอาจไม่ได้รับความชอบธรรมจากภาคธุรกิจ เนื่องจากอาจทำให้ภาคธุรกิจต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้น ส่วนนโยบายเงินดิจิทัลอาจไม่ได้รับความชอบธรรมจากประชาชนบางกลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของเงินดิจิทัล

โดยสรุปแล้ว นโยบายทั้งสองสอดคล้องกับกระบวนการนโยบายสาธารณะในบางขั้นตอน แต่ยังคงมีข้อโต้แย้งบางประการที่ไม่สอดคล้องกับกระบวนการนโยบายสาธารณะ จึงอยากเห็นรัฐบาลเศรษฐา1 ได้ทำการทบทวนอย่างรอบคอบว่าได้ดำเนินการตามหลักการนโยบายสาธารณะแล้วหรือยัง ขาดหายในขั้นตอนใด ถ้าดำเนินการยังไม่ครบถ้วน ถ้าประกาศออกไปแล้วไม่เกิดความโต้แย้งหรือมีกระแสคัดค้านตีกลับ ก็ให้รีบดำเนินการเพื่อผ่อนคลายปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชน แต่ถ้ายังคงมีปัญหาการโต้แย้งหรือมีกระแสตีกลับ ก็ให้รีบทบทวนอย่างรอบคอบ โดยไม่รีบด่วนในการติดสินใจปรับโน้นเปลี่ยนนี่ โดยที่ยังไม่ได้รับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ (Public Hearing) แต่ให้รีบเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจนตกผลึกแล้วจึงประกาศมาตรการในการดำเนินการ หวังว่ารัฐบาลเศรษฐา1 จะดำเนินการตามหลักการกระบวนการนโยบายสาธารณะอย่างรอบครอบและสร้างความพึงพอใจต่อประชาชนได้