Think In Truth

'ลาออก'บนวิถีชั้นเชิงกระบวนยุทธ์ขั้นเทพ โดย: หมาเห่าการเมือง



วันที่ 15 ก.ย. 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เรียนสมาชิกพรรคก้าวไกลทุกท่าน และพี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศ แม้วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พรรคก้าวไกลต้องเดินหน้าสู่การทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนในฐานะ “ฝ่ายค้าน” ที่มีเสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้ “ผู้นำฝ่ายค้าน” จำเป็นต้องเป็น สส. ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านอันดับ 1

และปัจจุบันนายพิธายังอยู่ภายใต้คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ผมจึงยังไม่สามารถเข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษราษฎร และไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้ในระยะเวลาอันใกล้

ขณะเดียวกัน นายพิธาได้หารือกับคณะกรรมการบริหารและ สส. ของพรรคก้าวไกลแล้วเห็นว่า บทบาท “ผู้นำฝ่ายค้าน” มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อระบบรัฐสภา และสมควรเป็นบทบาทที่รับผิดชอบโดยหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านหลักในสภาฯ ซึ่งตอนนี้คือพรรคก้าวไกล “ผู้นำฝ่ายค้าน” จะเปรียบเสมือนหัวเรือที่กำกับทิศทางการทำหน้าที่ในสภาฯ ของฝ่ายค้าน เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลและผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่ยังตกหล่นจากนโยบายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ดังนั้น นายพิธาจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล ณ ขณะนี้ เพื่อเปิดทางให้พรรคเลือก สส. ที่สามารถทำหน้าที่ “ผู้นำฝ่ายค้าน” ในสภาฯ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทนที่ผม

นายพิธายังยืนยันกับสมาชิกพรรคว่า ไม่ว่าสถานะของนายพิธาจะเป็นอย่างไร นายพิธาจะไม่ได้หายไปไหน แต่จะยังคงทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลและพี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังและสุดความสามารถเพื่อขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนแปลงที่เราปรารถนาร่วมกัน

หลังจากที่นายพิธาได้โพสต์ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกคนอื่นได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทน ก็มีหลายคนเป็นห่วงต่อสถานะของพรรคก้าวไกล ในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีกระแสการยุบพรรคก้าวไกล ด้วยการเอานโยบายการหาเสียงมาร้องมาร้องถึงการล้มล้างสถาบันฯ บ้าง เป็นการล้มล้างการปกครองบ้าง หรือการสร้างกระบวนการสมคบคิดเพื่อสร้างสถานการณ์การณ์ให้นายพิธาขาดคุณสมบัติด้วยข้อหาการถือหุ้นสื่อบ้าง ซึ่งการลาออกจากหัวหน้าพรรคครั้งนี้สร้างความกังวลต่อสมาชิกพรรคในหลายประเด็นดังนี้

ความสูญเสียบุคคลสำคัญ นายพิธาเป็นผู้นำพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่ปี 2562 และมีส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบายและอุดมการณ์ของพรรคให้เป็นที่รู้จักแก่สาธารณชน การลาออกของเขาจึงถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาทสำคัญต่อพรรค

ความแตกแยกภายในพรรค นายพิธาลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลหลายประการ รวมถึงความขัดแย้งภายในพรรค ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแตกแยกภายในพรรคได้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นการคัดสรรหัวหน้าพรรคคนใหม่

ความอ่อนแอในการต่อต้านรัฐบาล พรรคก้าวไกลเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักในสภาผู้แทนราษฎร การลาออกของนายพิธาอาจทำให้พรรคอ่อนแอลงในการต่อต้านรัฐบาล โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การบริหารงานของรัฐบาล การทุจริตคอร์รัปชัน และปัญหาเศรษฐกิจ

โอกาสของพรรคอื่น การลาออกของนายพิธาอาจเปิดโอกาสให้พรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ในการขยายฐานเสียงและโจมตีพรรคก้าวไกลได้มากขึ้น

นายสมชัย สิทธิยากร อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เชื่อว่า การลาออกของนายพิธา ลิ้มตระกูลรัตน์ จะส่งผลต่อคุณสมบัติของคณะกรรมการบริหาร ซึ่งพรรคก้าวไกล จะต้องเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ภายใน 60 วัน พร้อมทั้งแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคใหม่ และเชื่ออว่ากรรมการบริหารพรรคใหม่จะมีมติขับ นายปดิพัทธิ์ สันติภาดา ออกจากพรรคก้าวไกล ด้วยข้อหาไม่ลาออกจากรองประธานสภา ซึ่งขัดต่อมติพรรค แล้วหมออ๋องหรือนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ก็มีสิทธิ์ที่จะไปสังกัดพรรคไดก็ได้ในเวลา 30 วัน พรรคก้าวไกลก็จะมีคุณสมบัติเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และถ้าหมออ๋อง สมัครเป็นสมาชิกเป็นธรรม จำนวนของพรรคฝ่ายค้านก็ยังคงเดิม

ข้อมูลจากแหล่งข่าวแห่งหนึ่งแจ้งว่า คณะกรรมการชุดใหญ่ขององค์กรอิสระแห่งหนึ่ง จะนำเรื่องการคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ของนายพิธา เข้าประชุมพิจารณา ซึ่งนั่นเป็นการพิจารณาจะคืนสิทธิ์ หรือไม่คืนสิทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ สส. ของนายพิธา หลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคุณสมบัติของนายพิธา ในประเด็นการถือหุ้นสื่อ

นั่นหมายถึงว่า นายพิธาจะได้คืนสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนราษฎรหรือไม่ในเวลาไม่ช้านี้ แต่การลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลของนายพิธา ถือว่าเป็นเกมการเมืองที่เหนือชั้น เป็นชั้นเชิงทางการเมืองที่ไม่ธรรมดา ที่น้อยคนจะคิดแผนที่พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างนี้ เป็นการยิงปืนนัดเดียว ได้นกถึง สี่ตัว คือ ได้ใจมหาชนที่นายพิธาแสดงออกถึงความเสียสละ ไม่หวงตำแหน่ง และเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทน ภาพแห่งความเสียสละนี้ทำให้สังคมมีความศรัทธาต่อพรรคก้าวไกลมากขึ้น นกตัวที่สองที่ได้คือไม่ได้เสียตำแหน่งรองประธานสภา ถ้าคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลมีมติพรรคขับนายปดิพัทธ์ สันติภาดาออกมาจากพรรคก้าวไกล ด้วยข้อกล่าวหา ขัดต่อมติพรรค แล้วนายปฏิพัทธ์ไปสังกัดพรรคเป็นธรรม นั่นคือฝ่ายค้านไม่ได้เสียตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร นกตัวที่สาม คือ จำนวนฝ่ายค้านยังคงเหมือนเดิม ไม่ลดจำนวนของ สส. ฝ่ายค้านเลย  นกตัวที่สี่ คือ เมื่อรองประธานสภาไปสังกัดพรรคเป็นธรรม พรรคก้าวไกลก็ได้สิทธิ์ในการเป็นผู้นำฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์

เกมที่พรรคก้าวไกลวางไว้แนวทางในการเดินการเมืองคราวนี้ สิ่งที่ตอกย้ำว่าพรรคก้าวไกล ไม่ใช่พรรคการเมืองหน้าใหม่แล้วจะเป็นพรรคไอ้เณรที่มีพรรษาน้อย ที่จะไร้ซึ่งความเชี่ยวชาญในธรรม แต่เป็นไอ้เณรผู้กล้าแกล่งแห่งธรรมยุทธ์ผู้ไร้เทียมทาน

การออกกระบวนท่าเพลงมวยหมัดเทวดาปรนิมมิตปัฐพีคราวนี้ เล่นเอาพรรคเพื่อไทย ที่นั่งรอส้มหล่น ที่เคยเก็บนากรัฐมนตรีได้ไปแล้วครั้งหนึ่ง จะรอเก็บรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่งอีกครั้ง คาดว่าส้มหล่นคราวนี้ แต่มันไม่ได้ตกใกล้กับตำแหน่งที่เพื่อไทยยืนอยู่ แถมยังมีนกฟีนิกซ์มาคาบส้มที่หล่น เอาไปวางไว้ บนฉง่อนผาโดยมีเจ้าสำนักเป็นธรรม คอยดูแลเป็นอย่างดี เล่นเอาเพื่อไทยถึงฉุนลมออกหู ที่อุตส่าห์เอาไม้กระทุ้ง ปาก้อนหิน เอาน้ำร้อยราดโคนต้น รอให้ส้มหล่นจะได้เก็บไว้ในสำนักที่มีคนนั่งรอ ที่ศิษย์พี่ใหญ่จะได้นำเอามอบให้เพื่อลาภสัการะ งานนี้ถึงขั้นจอมยุทธ์แคนพิฆาติ ต้องออกมาตีกันแบบหน้าเจื่อนๆ ว่า “หวังว่าก้าวไกล จะไม่มีมติพรรคขับหมออ๋องจอมยุทธ์เข็มคืนชีพ ไปสังกัดสำนักเป็นธรรมนะ” อยากจะขำให้ก้นขี้ถั่ง(กระแทกพื้น)