Think In Truth

เหตุผลบอนไซฉุด'นาวาเศรษฐา1'อายุสั้น โดย : หมาเห่าการเมือง



ตอนแรกที่พรรคเพื่อไทย พยายามที่จะบีบให้หมออ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา ลาออกจากรองประธานสภาคนที่ 1 ทั้งที่พรรคเพื่อไทยเองยกมือสนับสนุนให้หมออ๋องเป็นรองประธานสภาทั้งพรรค และหมออ๋องก็เพิ่งเข้าปฏิบัติหน้าที่ยังไม่ทันเท่าไหร่ ก็สร้างผลงานด้วยการนำเงินรับรอง มาเปิดภัทตาคารหรูร้านหมูกระทะเลี้ยงแม่บ้านรัฐสภา ที่เป็นที่หมั่นใส้ให้กับ สส.ฝ่ายรัฐบาล ที่ไม่เคยคิดถึงศักดิ์ศรีของคนทำความสะอาดรัฐสภา คนนำอาหารมาให้ได้ทานกันอิ่มหนำกันทั้งสภา รวมทั้งคนที่คอยบริการน้ำดื่ม กาแฟ และอื่นๆ ให้อยู่ในสภาอย่างสมฐานะของผู้ทรงเกียรติ การที่หมออ๋องได้ยกย่องศักดิ์ศรีร่วมรับประธานหมูกระทะด้วยเลยกลายเป็นประเด็นกระแนะกระแหนในสภา ยังกับ สส.หน้าตัวเมียที่เหน็บทุกเรื่อง ถ้าสิ้นปี หมออ๋องขอใช้พื้นที่สภา มอบรางวัลเกียรติยศให้กับแม่บ้านสภา ผู้ที่ได้รับเสียงโหวตจาก สส. ในด้านต่างๆ แล้วเชิญสมาชิกรัฐสภาทุกท่านมาเข้าร่วมเป็นเกียรติ จะไม่เกิดการคว่ำบาตรงานนี้หรือ??.....

ความเคลื่อนไหวในการบีบให้หมออ๋องลาออกจากรองประธานสภาคนที่ 1 ก็คิดว่า คงเป็นเกมการเมืองของกลุ่มคนที่กระหายลาภสัการะ ยศฐานะบรรดาศักดิ์ ที่พยายามกินรวบของพรรคเพื่อไทย แต่พอติดตามงานของหมออ๋อง ก็พบว่า หมออ๋องมีการปฏิรูปสภาไปได้มากโดยมีเป้าหมายให้สภาเป็นสภาโปร่งใส มีการจัดระเบียบสภาให้อยู่ในรูปของการใช้ประโยชน์สูงสุด และได้จัดทำงบประมาณในการศึกษาดูงาน ด้วยงบประมาณ 15 ล้านบาท โดยมีเจ้าหน้าที่สภาร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานในครั้งนี้จำนวนมาก ซึ่งเปรียบเทียบกับการเดินทางไปประายูเอ็นของนายกรัฐมนตรีที่เช่าเหมาลำการบินไทยไปกัน 50 คน ด้วยงบประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งมันคนละเรื่อง แต่ก็ถูกหยิบขึ้นมาปูข่าวเพื่อหวังดิสเครดิต การบีบหมออ๋องให้ลาออก กลายเป็นว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ดันลาออกก่อน เสียก่อนและส่อที่หมออ๋องจะโดนขับออกจากพรรคก้าวไกลเสียอีก นั่นมันยิ่งทำให้ฝ่ายรัฐบาลหวั่นว่า ที่พยายามบีบหมออ๋องให้ลาออก ก็จะกลายเป็นการเปิดปมความระแวงที่เกรงว่าหมออ๋องจะตรวจสอบทุจริตในสภา โดยเฉพาะงบ 20,000 ล้านบาทในกานก่อสร้างรัฐสภา ที่มีปัญหาเรื้อรังมาโดยตลอด เอ....ก็เริ่มสงสัยขึ้นมาในทันทีว่า “รัฐบาลเศรษฐา1 จะอายุสั้น”  เพราะลงไปเดินอยู่ในปรักน้ำคร่ำห้องน้ำหรือไม่??....

ความสงสัยนี้ก่อให้ต้องเพ่งมองไปยังรัฐบาลชุดนี้อย่างจริงจัง ก็พบว่า อ้าว “นายกฯ เศรษฐา แต่งตั้งรัฐมนตรีไม่ครบ”  แต่งตั้งมาเพียง 34 คน ซึ่งขาดไปสองคน โดยที่ก่อนจะทูลเกล้าเสนอชื่อคณะรัฐมนตรี นายพิชิต ชื่นบาน ก็แสดงความรับผิดชอบ ด้วยการขอถอนตัวในการเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีเศรษฐา1 และนายไผ่ ลิกค์ ซึ่งติดเงื่อนไขการตรวจสอบคณสมบัติ จาก ปปช. ประเด็นนี้นี่เองที่ยังไงเสีย จะต้องเกิดรัฐบาล เศรษฐา 2 ในเวลาอันใกล้นี้เอง ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องสรรหาบุคคล มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่ขาดหายไป แน่ๆ

แต่มันก็ไม่จบเพียงแค่เท่านี้ ในวันที่ 14 กันยายน เวลา 09.30 น. นายชัย วัชรงค์ โฆษกของรัฐบาล ก็ได้ออกมาแถลงถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงประเด็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีในการทบทวน คำสั่งของ คสช. ที่ไม่จำเป็นต้องคงไว้ เพื่อจะได้ออกคำสั่งยกเลิกคำสั่ง คสช. ซึ่งถือว่าเป็นมรดกบาปที่คณะรัฐประหารทิ้งไหว้ให้กับคนรุ่นหลัง ซึ่งต่อคำสั่งของนากยรัฐมนตรี ที่กำลังจะได้ใจประชาชนกลับมาบ้าง แต่นายนายชัย ซึ่งถือว่าเป็นปากเสียงให้กับรัฐบาล ก็เอ่ยคำติดลบขึ้นมาทันทีว่า  “มติคณะรัฐมนตรีก็ยกเลิกได้ ตอนนี้รัฐบาลนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ยกเลิกได้อยู่แล้วครับ” เขาตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงวิธีการในการยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหารปี 2557

เอาหละถึงแม้จะเป็นการแถลงผลการประชุมที่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลติดลบเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังพอทนได้ เพราะถือว่าเป็นครั้งแรกในการแถลงข่าวของโฆษกรัฐบาล

ยังไม่ทันจะเย็นลงเท่าไหร่เลย ก็มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีตามหลังมาอีกเรื่อง คือ จ่ายเงินเดือนข้าราการ 2 ครั้งต่อเดือน ซึ่งว่าไปแล้วมันก้ไม่เสียหายอะไร แต่รัฐบาลก็อ้างถึงจุดประสงค์ในการดำเนินการจ่ายเงินเดือน 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อ “ลดภาระหนี้สิน” ให้กับข้าราชการ ซึ่งมันทำให้หลายคนมองว่า รัฐบาลไม่ทำอะไร แต่พูดเอาดีใส่ตัวอย่างเดียว เพราะเงินเดือนก็ไม่ได้เพิ่ม แล้วจะลดภาระหนี้สินได้อย่างไร??....ประเด็นนี้ก็เป็นไวรัลอยู่แค่ข้ามคืน พล.ต.อ เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ก็ออกมาชี้แนะข้าราชการครูให้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยการเดินทางไปโรงเรียนร่วมรถคันเดียวกัน เวลาไปงานเลี้ยงก็ใส่ซอง 20 พร้อมทั้งล้างจานเพื่อทดแทนการใส่ซอง เล่นเอาคุณครูทั้งประเทศพูดไม่ออก จะหันกลับไปด่าหรือก็จะซวยเพราะคนที่พูดเป็นเจ้ากระทรวง เพราะครูยังถูกกดทับด้วยทัศนคติที่ว่า “ทะเลาะกับนาย ฉิบหายทั้งชีวิต” เลยต้องทนเงียบและเล่นกับคลื่นใต้น้ำไป พร้อมทั้งได้ออกคำขวัญวันครูปีหน้าว่า “รวมรถไปสอน ใส่ซองยี่สิบ ค่านิยมนำชีวิต เจอวิฏฤติไปล้างจาน”  รอให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด คดี “บอส อยู่วิทยา” ในคดีกลับคำสั่งไม่ฟ้อง “บอส” นายวรยุทธ อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถยนต์ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ นายดาบตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555  โดย ป.ป.ช.เห็นควรส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้ง หรือถอดถอนดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจ เนื่องจากเรื่องที่มีการกล่าวหามิใช่เป็นความผิดร้ายแรง ตามมาตรา 64 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

ความเคลื่อนไหวในพรรคเพื่อไทย ก็ยังมีการที่รัฐมนตรีอีกสองท่านอาจจะต้องถูกปรับออกจากการสะดุดขาตัวเอง คือ ท่านรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งในกรณีทุจริตงบประมาณจัดทำฝายแม้ว 700 กว่าล้านบาท ซึ่งมีชื่อภริยาของท่านติดข่ายไปด้วย แถมยังมีประเด็นเรื่องที่ดินในการถือครองที่ท่ารองนายกฯ อีกที่เกี่ยวกับการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติอีกเรื่องหนึ่ง

อีกคนหนึ่งที่ติดข่ายอาจจะถูกปรับให้ออกจากรัฐมนตรีกระทรวงที่ดูแล พรบ.คอมพิวเตอร์ เพราะกำลังโดนตรวจสอบเรื่องการถือครองที่ดินที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติเช่นกัน

ประเด็นที่เอ่ยข้างต้น มันเป็นความจำเป็นที่รัฐบาลเศรษฐา1 อาจจะต้องสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้ แล้วอาจจะต้องคลอดรัฐบาล เศรษฐา2 ออกมา รวมทั้งแคมเปญใหม่ ว่าด้วยเรื่องการบริหารจัดการนโยบายใหม่ ไม่ว่าการแจกเงินดิจิทัล ที่ไม่ประเมินการหมุนเวียนเงินเพียงแค่ Velocity of Money ซึ่งไม่สนใจว่า การหว่านงบประมาณลงมาจำนวนมาก จะเกิดการจัดการทรัพยากรให้เกิดมูลค่าเพิ่มอย่างไร ก็จะมองเพียงเกิดการหมุนเวียนเงินกี่รอบ โดยสมุติฐานว่า หมุนเวียนเงินหนึ่งรอบ จะเกิดผลกำไรจากการหมุนเวียน 20% เท่ากับกำไรสูงสุดของการขายของร้านโชห่วย นั่นคือ หว่านงบประมาณลงมา 560,000 ล้านบาท จะเกิดการหมุนเวียนประมาณ 6 รอบ คือเกิดกำไร รอบละ 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะเกิดภาษีเข้ารัฐ 1,200 ล้านบาทต่อรอบ ซึ่ง ถ้า 6 รอบ รัฐจะเกิดรายได้ 7,200 ล้านบาทนั่นเอง ซึ่งถ้ารวมกับภาษีที่ซับซ้อนอย่างภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็จะเกิดรายได้ของรัฐโดยรวมประมาณ 20,000 บาท โดยที่เงิน 560,000 ล้านบาทก็หยุดหมุน เพราะต้องคืนทุนที่ยืมมา พร้อมทั้งดอกเบี้ย ซึ่งเป็นรายได้ของภาครัฐที่เกิดขึ้นไม่คุ้มกับความเสี่ยง ที่สถาบันการเงินรวมทั้งนักวิชาการทางด้านการเงินออกมาเตือนก่อนหน้า

รัฐบาลเศรษฐา2 ควรบริหารจัดการนโยบายเงินดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเป็นแบบ Physical Multiplier โดยเงินที่ตกอยู่ในมือผู้ใด ผู้นั้นจะต้องหมุนเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มให้กับตนเอง เพื่อให้มูลค่าเพิ่มที่ได้ขึ้นมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงชีพ ที่ยังคงมีทุนในการหมุนเวียนใหม่เช่นเดิม เช่น เมื่อเงินดิจิทัลถือมือประชาชน ประชาชนต้องนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรในการใช้ศักยภาพในตนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรที่ได้มา โดยมีรัฐให้การสนับสนุนและประกันทางการตลาดช่วยประชาชนในอีกทางหนึ่ง ซึ่งทรัพยากรที่เกิดผลผลิตขึ้นมา จะเกิดการหมุนเวียนทั้งทรัพยากรและเงินไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อสู้กับตลาดโลกที่ประเทศจะมีกำลังต่อรองทางการตลาดสูงกว่าทุกๆ ประเทศในโลกนี้ โดยที่ประเทศไทยมีทั้งทรัพยากร ผลผลิตจากทรัพยากร และทุนในการแลกเปลี่ยนในระดับโลก ถึงแม้นธุรกิจระดับประเทศท่านนายกรัฐมนตรีจะยังไม่เคยบริหาร แต่ท่านก็มีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจในบริษัทมหาชน เชื่อว่าท่านคงมีความสามรรถมากพอที่จะดำเนินการในการบริหารจัดการได้ เพียงแค่ทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

ถ้า รัฐบาลเศรษฐา2 เกิดขึ้น อาจะเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการใหม่ โดยยังคงนโยบายแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาทเช่นเดิม โดย แจกเพื่อการลงทุน ในการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดผลผลิต โดยรัฐเป็นผู้ค้ำประกันผลผลิต ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นพี่เลี้ยงคอยให้การสนับสนุน และมีทุนใหญ่ที่เคยเป็นทุนผูกขาดให้การสนับสนุนด้านการตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเปลี่ยนจากทุนผูกขาด เป็นทุนความร่วมมือ ซึ่งเกิดความร่วมมือใหม่ในประเทศ เป็นความสามัคคีที่ร่วมกันต่อสู้กับภาวะของตลาดโลก เกิดความเอื้ออาทรใหม่ เกิดการเกลื้อกูลใหม่ ในนิเวศน์ประชากร และนิเวศน์สิ่งแวดล้อม จะเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่มีฐานจากหลักการ โคกหนองนา ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่จะเป็นต้นแบบของโลกในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน และความเสื่อมโทรมทางด้านสิ่งแวดล้อมโลก รวมทั้งเป็นต้นแบบในการปฏิวัติวัฒนธรรมโลก ที่สร้างความยั่งยืนของโลกในอนาคต

อีกนโยบายหนึ่ง ที่นักการเงินรวมทั้งนักวิาการทางด้านการเงิน การคลัง มองว่าเป็นนโยบายที่ดำเนินการแล้ว จะได้ไม่เท่าเสีย คือนโยบาย “พักหนี้เกษตรกร” แต่โดยส่วนตัวผมกลับมองว่า หากรัฐบาลดำเนินการบริหารจัดการนโยบาย พักหนี้เกษตรกร แล้วบูรณาการกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลเพื่อการลงทุน พร้อมทั้งปูพื้นฐานทางการบริหารจัดการการลงทุนทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการบริหารจัดการทางการตลาดที่ก่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น การพักชำระหนี้เกษตรกร อาจจะไม่ถึงสามปีเสียด้วยซ้ำ ถ้าผลประกอบการของเกษตรกรดี กลุ่มทุนนธนาครก็อาจจะออกแคมเปญใหม่ กระตุ้นการลงทุนของภาคเกษตรกรเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ ซึ่งจะเป็นแนวทางในการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืนมากขึ้น

หวังว่ารัฐบาล จะใช้โอกาสในการปรับ ครม.ในรัฐบาลเศรษฐา เป็น “รัฐบาลเศรษฐา2” เพื่อปรับแนวนโยบาย หลักคิด อุดมการ และพันธกิจของรัฐบาล ให้ก้าวไปในแนวทางแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้การบริหารจัดการที่ยืนอยู่บนหลักแห่งคุณธรรม จริยธรรม ที่มีเป้าหมายที่จะนำไปสู่การสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน