Think In Truth

'เงินหมื่นดิจิทัล'ความหวังบนความเสี่ยง 'พรรคเพื่อไทย' โดย ... พินิจ จันทร



กล่าวกันว่าประชาชนคนไทยในปัจจุบันกว่าร้อยละ 50 หรือเกินครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ นอกจากมีความหวังในเรื่องหวยรวยเบอร์แล้ว ยังถามกันทุกวันถึงเรื่องแจกเงินดิจิทัลที่รัฐบาลเพื่อไทยว่าจะแจกให้สำหรับผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไปหรือประมาณ 55 ล้านคนทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 5 แสน 6 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุดเป็นคำยืนยันจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าจะสามารถแจกได้ในเดือนพฤษภาคม 2567 อย่างแน่นอน

ก่อนอื่นเพื่อความเข้าใจจะขอเท้าความเรื่องเงินดิจิทัลก่อนว่ามันมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เพราะที่ผ่านมาก็เคยชินใช้แต่เงินกระดาษหรือธนบัตรของสกุลเงินต่างๆและที่เป็นเหรียญกษาปณ์เท่านั้น ส่วนสกุลเงินดิจิทัล(digital currency)มันเป็นสกุลเงินอีกประเภทหนึ่งที่เป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายเงิน แต่มันมีความแตกต่างอยู่ที่การบริหารจัดการ การจัดเก็บหรือแลกเปลี่ยนบนระบบคอมพิวเตอร์แบบดิจิทัลโดยเฉพาะการจัดการผ่านอินเทอร์เน็ต 

ตัวอย่างของสกุลเงินดิจิทัลที่รู้จักกันทั้งโลกได้แก่ คริปโทเคอร์เรนซี (cryptocurrency) หรือ สกุลเงินเสมือน (virtual currency) โดยกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเงินที่เกิดขึ้นจัดเก็บในรูปแบบของฐานข้อมูลจัดการโดยธนาคารหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือจัดการแบบการเงินแบบไม่รวมศูนย์ (DeFi)สกุลเงินดิจิทัลมีลักษณะคล้ายสกุลเงินทั่วไป แตกต่างกันตรงที่ไม่มีรูปแบบทางกายภาพชัดเจน ไม่มีการพิมพ์ธนบัตรหรือผลิตเหรียญกษาปณ์

 

อย่างไรก็ตามถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้วนโยบายที่จะนำเงินดิจัลมาใช่นี้เริ่มคิดกันมาตั้งแต่ปี 2562 โดยใช้ชื่อว่าโครงการเงินบาทดิจิทัลหรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อใช้เป็นเงินสดแทนธนบัตรในยุคดิจิทัล

วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนตุลาคม 2562 ได้รายงานความคืบหน้าการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลว่า จะเริ่มทดลองใช้จริงในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ทั้งระบบออนไลน์ และระบบออฟไลน์ สามารถเปลี่ยนเงินฝากเป็นเงินดิจิทัลได้ และเงินดิจิทัลเป็นเงินฝากได้ เหมือนกับเงินหยวนดิจิทัลของจีน การให้บริการออนไลน์จะเป็นการใช้ผ่าน wallet บนสมาร์ทโฟน สามารถโอนเงินได้ แม้ไม่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็ใช้สมาร์ทการ์ด ในอนาคตเงินบาทดิจิทัลยังสามารถใส่โปรแกรมเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดคุณสมบัติอย่างอื่น ๆ ได้อย่างคล่องตัวกว่าธนบัตร

 

วชิราอารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าแบงก์ชาติ กล่าวถึงการพัฒนาเงินบาทดิจิทัล ว่าได้พัฒนาเงินบาทดิจิทัล สำหรับใช้ในสถาบันการเงิน เพื่อทำธุรกรรมการเงินระหว่างธนาคารแบบเรียลไทม์เป็น Wholesale CBDC ด้วยเทคโนโลยี Blockchainและ Distributed Ledger Technology : DLT ภายใต้ โครงการอินทนนท์และได้พัฒนาต่อเนื่องมาเป็น Retail CBDC หรือเงินบาทดิจิทัลเพื่อใช้กับประชาชนทั่วไป

ลักษณะของเงินบาทดิจิทัลที่จะนำมาใช้มีดังนี้

1.มีรูปแบบคล้ายเงินสดและไม่จ่ายดอกเบี้ย ผู้ใช้สามารถถือเงินบาทดิจิทัลได้ทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ เช่น สมาร์ทการ์ด ที่มีลักษณะคล้ายเงินสด ซึ่งประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้ว เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม แม้จะไม่มีสมาร์ทโฟนก็ใช้เป็นสมาร์ทการ์ด หรือไม่มีบัญชีเงินฝากในธนาคาร
          2.ไม่สร้างภาระค่าธรรมเนียมผู้ใช้งาน เพื่อให้มีต้นทุนต่ำที่สุด และไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย จำกัดปริมาณการถือหรือไถ่ถอน เพื่อป้องกันการถอนเงินจำนวนมากอย่างรวดเร็ว จนอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและยอดเงินฝากของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ รวมทั้งป้องกันการฟอกเงินหรือทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
          3.ต้องผ่านตัวกลาง เช่น สถาบันการเงิน หรือ ผู้ให้บริการทางการเงิน ในการแลกเปลี่ยนเงินบาทดิจิทัล เพื่อรักษาบทบาทของตัวกลางทางการเงินในปัจจุบัน

ตามรายงานข่าวล่าสุดระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเริ่มในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 โดยจะต้องลงทะเบียน ทั้งประชาชนผู้รับสิทธิ์และร้านค้า สามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับการให้บริการได้ ไม่สามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี อีกทั้ง ไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้ ค่าเรียนค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้ และแลกเป็นเงินสดไม่ได้ แลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ ไม่ได้ หากแต่ซื้อสินค้าได้ทุกร้านค้า ไม่จำกัดแต่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี ไม่จำเป็นต้องจด VAT ร้านค้ารถเข็น โชห่วย ร้านค้าในแอปพลิเคชันเป๋าตัง ใช้ได้ทั้งหมด แต่ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ์ และร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น

อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้แม้ว่าจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกกว้างขวางเกี่ยวกับขอบเขตหรือรัศมีการนำไปใช้ สิทธิ์หรือหลักเกณฑ์ของคนที่จะได้รับว่าจะเป็นกลุ่มใดบ้าง และที่สำคัญเสียงคัดค้านจากนักวิชาการหรือคนที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าในที่สุดแล้วรัฐบาลเพื่อไทยจะต้องหาทางลงจนได้เพราะถ้าไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายที่ประกาศเอาไว้ เชื่อว่าจะต้องได้รับผลกระทบในสนามเลือกใหญ่ตั้งในอนาคตอย่างแน่นอน

 

ถ้าพิเคราะห์กันอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับเงินดิจิทัลมันก็เป็นการลงทุนที่ได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด นั่นคือได้ทั้งความสุข (ใจและกาย)  และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เมื่อประชาชนมีเงิน มีกำลังซื้อ ก็จะเกิดการสร้างงานเพราะเมื่อสินค้าในสต๊อกหมด ก็จะรับคนเข้าสู่ระบบโรงงานผลิตสินค้า ก่อให้เกิดรายได้ เก็บภาษีจากค่าจ้างเงินเดือนเป็นต้น

มีคำถามว่าทำไมไม่จ่ายเป็นเงินสด คำตอบแบบง่ายๆก็คือเงินดิจิตอล จะทำให้ระบบการจัดเก็บภาษีเกิดประสิทธิภาพ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เงินที่ปล่อยออกไป จะหมุนเวียนประมาณ 7 รอบ ลงทุนไป 100 บาท เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 49 บาท ลงทุน 560,000 ล้านบาท ได้ภาษีคืน290,000ล้านบาท รวมภาษีประกอบการ ภาษีจากค่าจ้าง จาการประกอบการขนส่ง รัฐแทบจะได้คืนทุกบาท ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ถ้าไม่ใช้ครบ 6 เดือน เงินก็จะกลับคืนเข้ารัฐ ถ้าใช้ก็ถือว่าท่านช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประเทศเดินหน้า

สรุปแบบกำปั้นทุบดิน ก็คือ ถ้าจะให้ประเทศมีเศรษฐกิจดี ก็ต้องมีการลงทุนจึงจะก่อให้เกิดรายได้.