Think In Truth

วิเคราะห์ : สงครามชิงอัตลักษณ์ของชาติ  : โดย ฟอนต์ สีดำ



พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน ในนครนิวยอร์ก สหรัฐ เตรียมส่งคืนโบราณวัตถุจากไทย 2 ชิ้น สู่ประเทศต้นทาง โดยโบราณวัตถุที่จะถูกคืนไปประกอบด้วย ภาชนะดินเผา ลูกกลิ้งดินเผา หินดุ และกำไลสำริด ซึ่งเป็นโบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุแตกต่างกันไป กล่าวคือ มีตั้งแต่อายุประมาณ ๑,๘๐๐ - ๒,๓๐๐ ปี ไปจนถึง ประมาณ ๓,๐๐๐ - ๔,๓๐๐ ปี 2345

การส่งคืนโบราณวัตถุในครั้งนี้ สืบเนื่องจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิทัน ทำการตรวจสอบรายการโบราณวัตถุที่มีประวัติการได้มาเกี่ยวข้องกับนายดักลาส แลตช์ฟอร์ด นายหน้าค้าโบราณวัตถุ ผู้ซึ่งถูกสำนักงานอัยการเขตนิวยอร์กใต้แจ้งดำเนินคดีค้าโบราณวัตถุโดยผิดกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. 2562 แล้วพบว่ามีโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดจากประเทศไทย  คือประติมากรรมพระศิวะสำริด ที่รู้จักในชื่อ Golden Boy และยังพบโบราณวัตถุที่มีที่มาเกี่ยวพันกับนาง ดอรีส วีเนอร์ ซึ่งถูกสำนักงานอัยการเขตนิวยอร์กแจ้งดำเนินคดีค้าโบราณวัตถุโดยผิดกฎหมายเช่นกัน

ข่าวการเตรียมการส่งคืนวัตถุโบราณดังกล่าวได้แพร่ออกไป ส่งผลต่อความไม่พอใจต่อรัฐบาลกัมพูชา อันเนื่องจากทางการของกัมพูชาอ้างว่า เป็นสมบัติของกัมพูชา ที่ถูกคนไทยขโมยมาขายให้กับนักค้าวัตถุโบราณนายดักลาส แลตช์ฟอร์ด แต่ทางการกัมพูชาก็ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ ในขณะที่ทางการไทยมีหลักฐานการขุดพบวัตถุโบราณดังกล่าว ที่ประสาทโป่งสะเดา อำเภอระหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งสอดคล้องกับคำบอกเล่าของผู้รับจ้างการค้นหาและนำออกมาขายให้กับนายดักลาส แลตช์ฟอร์ด ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งยังมีรายงานการพบแท่นหินที่ประทับของโบราณวัตถุปฏิมากรรมสำริดซึ่งระบุว่าเป็นปฏิมากรรมพระศิวะสำริด หรือ Golden Boy หลักฐานและเหตุผลที่ทางการไทยได้ส่งให้กับทางพิพิทภัณฑ์ ศิลปะเมโทรโพลิทัน สอดคล้องกัน ทางการสหรัฐกับทางพิพิทภัณฑ์ ศิลปะเมโทรโพลิทัน จึงเตรียมส่งคืนโบราณวัตุ 2 ชิ้นนี้คืนให้กับประเทศไทย ในขณะเดียวกันกับทางการกัมพูชา ก็จะดำเนินการร้องต่อรัฐบาลสหรัฐ เพื่อคัดค้านการส่งคืนให้กับประเทศไทย โดยต้องส่งคืนให้กับทางกัมพูชา

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นการเชื่อมต่อประวัติศาสตร์ดินแดนอุษาคะเนย์ ที่นักประวัติศาสตร์ทั้งไทยและต่างประเทศ ได้เขียนประวัติศาสตร์ตามบันทึกของนักสำรวจของประเทศล่าอาณานิคม ในยุคล่าอาณานิคม บันทึกในพงศาดาลต่างๆ แต่เมื่อมีนักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ได้ทำการศึกษาประวัติศาสตร์ ทำให้เกิดความจริงที่ไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ที่สรุปไว้ดั้งเดิม จึงส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางความรู้ทางประวัติศาสตร์และการระบุอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่กัมพูชาและในประเทศลาวที่เขียนวิชาประวัติศาสตร์สอนคนให้เกลียดชังคนไทย เพื่อหวังผลทางการเมืองระหว่างประเทศ เนื่องจากความแตกต่างทางระบอบการปกครอง

โบราณวัตถุปฏิมากรรมสำริดของพระเจ้าชัยวรมันต์ที่6 มีความสำคัญในการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ ที่หายไประหว่างช่วงของการรุกรานของฮินดูที่เข้ามาครอยงำนครวัด และแผ่อิทธิพลครอบงำดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ยุคพระเจ้าจิตเสน ในศตวรรษที่ 11 จนถึงยุคพระเจ้าชัยวรมันต์ที่ 9 ที่ถูกประซอกประแอมทำการรัฐประหารและเข่นฆ่าชนชั้นสูงในนครธม และพราหมณ์ฮินดูในนครจนหมด และมีผู้นำบางคนได้นำไพร่ผลหนีตายเข้ามาลี้ภัยที่ลพบุรี โดยเฉพาะพระเจ้าอู่ทอง ซึ่งเป็นราชบุตรของเจ้าเมืองพิมาย ที่เข้ามาเตรียมขึ้นเป็นกษัตริย์ และได้ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ของอยุทธยา

ตามนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ได้ศึกษาข้อมูลใหม่ พบว่า ประซอกประแอมตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยตั้งเมืองอุดงมีชัย เป็นเมืองหลวง ในนามที่เรารู้จักกันคือพระเจ้าแตงหวาน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ยุคเดิมระบุว่าเรื่องของประซอกประแอม เป็นเรื่องนิทานเรื่องพระเจ้าแตงหวาน แต่ถ้าเป็นนิทานที่ไม่อิงกับความเป็นจริง นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่มองว่า คงไม่มีใครเขาสร้างอนุวาวรีย์พระเจ้าแตงหวานไว้ให้ชนรุ่นหลังได้สำนึกถึงพระคุณในการสร้างประเทศกัมพูชา

ด้วยพระเจ้าแตงหวานเป็นต้นตระกูลนโรดม การปิดบังชาติกำเนิดของพระเจ้าแตงหวานจึงมีความสำคัญต่อการครองราชย์ของราชวงศ์นโรดม เพราะประเพณีการครองราชย์ในกัมพูชา ก็จะมีราชประเพณีเหมือนกับในประเทศไทย ที่ผู้ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชย์ จะต้องเป็นผู้ที่เกิดในเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นประวัติศาสตร์ของราชวงศ์วรมันต์(วรมันต์ แปลว่า จอมขมังเวทย์) ซึ่งเป็นราชวงศ์กษัตริย์พิมาย จึงต้องปิดบัง เพื่อไม่ให้มีผลต่อราชวงศ์นโรดมในภายหลัง

ความพยายามของกัพูชาในการที่จะร้องต่อสหรัฐในการขอคืนโบราณวัตถุปฏิมากรรมสำริด Golden Boy คืนต่อกัมพูชา เพื่อลบประวัติศาสตร์ที่เชื่อมต่อสมัยถึงราชวงศ์วรมันต์ เป็นกษัตริย์ขอมที่อยู่ในประเทศไทย(ขอม คือกลุ่มที่นับถือศาสนาพราหมณ์สยาม หรือนักถือพระพรหม)

อะไรที่เป็นตัวชี้ให้เห็นว่าอาณาจักรเสมา และพิมายมีความเจริญรุ่งเรือง ที่สัมพันธ์กับโบราณวัตถุปฏิมากรรมสำริด Golden Boy ก็ต้องย้อนกลับไปศึกษาเรื่อยุคต่างๆ ในสมัยพุทธกาล หรือ 2500 ผีที่ผ่านมา เป็นยุคสำริด สำริด คืออะไร สำริดคือโลหะผสมระหว่างดีบุคกับทองแดง ถึงแมันดินแดนสุวรรณภูมิจะมีทองคำมากมาย แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม เพราะเป็นโลหะที่อ่อนนิ่ม แต่ชาวตะวันออกไกล จีน ยุโรป เขานิยมเอาไปทำเหรียญและเครื่องประดับ ทั่วโลกจึงมุ่งมาค้าขายกับดินแดนสุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิจึงเป็นทวารวดี(ทวารวดี แปลว่า เมืองท่า หรือเมืองการค้าสากล มีหลายเมือง เช่นทวารวดีศรีสาเกตุ ทวารวดีศรีอยุทธยา ทวารวดีศรีวิไชย เป็นต้น) แหล่งทองแดงที่สำคัญ อยู่ที่บ้านเชียง ร้อยเอ็ด แหล่งดีบุกอยู่ที่ศรีวิไชย ชาวเสมาและพิมาย จึงนำโลหะสองชนิดนี้มาผสมกันเกิดเป็นอุตสาหกรรมสำริดขนาดใหญ่ มีโรงหล่อสำริดมากมายในย่านนี้ จนเราเรียกสถานที่ตรงนี้ว่า “ทุ่งสำริด” อุตสาหกรรมสำริด เป็นแหล่งผลิตเครื่องใช้โลหะ รวมทั้งรูปสัการะ ปฏิมากรรมสำริด Golden Boy ถูกผลิตขึ้นที่นี่ ซึ่งเป็นปฏิมากรรมสำริดรูปเสมือนพระเจ้าชัยวรมันต์ที่ 6 ไม่ใช่ปฏิมากรรมสำริดพระศิวะแต่อย่างได ที่สำคัญ พระเจ้าชัยวรมันต์ที่6 นับถือศาสนาพุทธ มีนักวิชาการหลายคนบอกว่าเป็นพุทธมหายาน ซึ่งโดยส่วนผมเองคิดว่าไม่ใช่ เพราะพุทธมหายาน เข้ามาเมืองไทยภายหลัง ประมาณ ศตวรรษ3-5 โดยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเป็นชาวทมิฬ เป็นผู้นำเข้ามาเผยแผ่ ซึ่งเป็นนิกายที่ขาดความเข้าใจในเรื่องของทางสายกลาง แต่พระเจ้าชัยวรมันต์ที่ 6 เกิดในกลุ่มราชวงศ์ที่นับถือพระพรหมหรือศาสนาพราหมสยาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการกำเนิดศาสนาพุทธนิกายเถรวาท(ถูกนิกายมหายานเหยียดว่าเป็นนิยกายหินยานหรือนิกายชั่ว) ดังนั้นตามสภาพสิ่งแวดล้อมแล้ว พระเจ้าชัยวรมันต์ที่ 6 จึงน่าจะนับถือศาสนาพุทธ นิกายเถวรวาท

ทำไมนักวิชาการจึงเชื่อว่าพระเจ้าชัยวรมันต์ที่ 6 จึงนับถือพุทธนิกายมหายาน สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจถึงนครวัก นครธม ถูกครอบงำโดยชาวทมิฬที่นับถือฮินดูมากก่อน แต่ด้วยศาสนาฮินดูไม่สามารถที่จะสร้างการนับถือให้กับชาวสุวรรณภูมิ หรือคนในดินแดนอุษาคเนย์ได้เลย เพราะตรรกะในการสร้างความน่าเชื่อถือรวมทั้งพิธีกรรม ไม่ว่าพิธีบูชายันต์ พิธีเกษียณสมุทร เป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อศีลธรรมของกลุ่มนับถือศาสนาพราหมณ์สยาม(นับถือพระพรหม) และหลักการของศาสนาผี จนเกิดความขัดแย้งทางแนวคิด เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง จนเกิดกองทัพผู้หญิงเปลือยหน้าอก รวมกับพราหมณ์สยามลุกขึ้นมาต่อสู้กับชาวฮินดู จนชาวฮินดูพ่ายแพ้กลับไปในหลายพื้นที่ ไม่ว่าสกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ด พิมาย และอีกหลายที่ จนเรื่องราวของวีรสตรีเมืองโคราช คือ คุณหญิงโม ก็ใช้ยุทธวิธีเดียวกัน ในการต่อสู้กับทัพของพระเจ้าอนุวงศ์ การเคลมศาสนาพุทธด้วยนิกายมหายาน ก็เพื่อครอบงำทางความคิด ความเชื่อ ซึ่งเวลานี้ ศาสนาพุทธนิกายมหายานก็มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จนมีฆราวาสบางกลุ่ม ออกมาสอนศาสนาพุทธกันเอง โดยปฏิเสธพิธีกรรมทางศาสนาผี ด้วยวาทกรรมที่ว่า “ไม่ใช่พุทธบริสุทธิ์” ซึ่งไม่เข้าใจว่า ถ้าเป็นพุทธบริสุทธิ์แล้วศาสนาพุทธจะไม่สามารถยืนอยู่ได้เลย และไม่เข้าใจในเรื่องของทางสายกลาง และหลัดแห่งพรหมวิหารในการนำไปใช้เลย

โบราณวัตถุปฏิมากรรมสำริด พระเจ้าชัยวรมันต์ที่ 6 ถ้าได้กลับมา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยยุคใหม่ ที่สามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ที่หายไป ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น และประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ก็ควรจะได้ชำระประวัติศาสตร์และสร้างความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างความร่วมมือในการพัฒนาในภูมิภาคให้เจริญไปด้วยกัน อย่างมั่นคง