EDU & Tech-Innovation

ผลวิจัยการแพร่ระบาดใช้บุหรี่ไฟฟ้าในรร. พบ9.1%สูบแล้ว/ซื้อผ่านออนไลน์66.7%



กรุงเทพฯ-รศ.ดร.จักรพันธ์ เพ็ชรภูมิ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรกล่าวถึง ผลการวิจัยเรื่อง ‘สถานการณ์แพร่ระบาดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนและการปรับตัวของครูในการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน’ ปี 2567 โดยกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศ6,111คนพบว่า9.7% ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในรอบ 30 วันที่ผ่านมา(12.6% ภาคอีสาน,10.3% ภาคเหนือ, 10.3% ภาคใต้,6.2% ภาคกลาง) และอีก15.9% มีโอกาสเสี่ยงใช้บุหรี่ไฟฟ้าในอนาคต โดยกลุ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ได้บุหรี่ไฟฟ้ามาจาก66.7% ร้านค้าในสื่อออนไลน์ และ33.3ร้านค้าในชุมชน โดย 45.2% ยังไม่รับรู้นโยบายและกิจกรรมโรงเรียนปลอดบุหรี่ไฟฟ้าและ 37.2% เคยพบเห็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน ซึ่ง 58.3% เคยเห็นการโฆษณาหรือการส่งเสริมการขายบุหรี่ไฟฟ้าทางสื่อออนไลน์ ขณะที่ครูส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และสื่อการสอนสำหรับการจัดการเรียนรู้เพื่อป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียน

“ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงของนักเรียนต่อการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ 1) สูบบุหรี่มวน ในรอบ 30 วันที่ผ่านมา 2) ใช้สารเสพติดในรอบ 30 วันที่ผ่านมา 3) มีผู้ปกครองใช้บุหรี่ไฟฟ้า 4) มีเพื่อนใช้บุหรี่ไฟฟ้า และ5) ผลการเรียนสะสมต่ำกว่าหรือเท่ากับค่าเฉลี่ย ในขณะที่ปัจจัยป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ การมีทัศนคติเชิงลบต่อการใช้บุหรี่ไฟฟ้า และมีกิจกรรมต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียนเป็นประจำ นอกจากนี้พบว่า นักเรียนที่มีการรับรู้นโยบายและกิจกรรมโรงเรียนปลอดบุหรี่ไฟฟ้าในระดับสูงเท่านั้น จะมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 3 เท่า และรับรู้อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 8 เท่า” รศ.ดร.จักรพันธ์กล่าว

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กไทยนับเป็นหายนะที่ทุกภาคส่วนต้องร่วม‘ปกป้องเด็กและเยาวชนจากการตกเป็นเหยื่อบุหรี่ไฟฟ้า’โดยเฉพาะโรงเรียน จึงขอเสนอแนะ ดังนี้ 1)ขอให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดให้โรงเรียนประถมและมัธยมศึกษาทุกแห่งกำหนดนโยบายและประกาศใช้นโยบายโรงเรียนปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วนและเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งเร่งสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้นักเรียน บุคลากรในโรงเรียน และชุมชนรับรู้ในวงกว้าง2) ชอให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งผลิตคู่มือและสื่อการสอน รวมทั้งออกแบบหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพสำหรับครูแกนนำในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียน3) ขอให้โรงเรียนเร่งรัดมาตรการป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน รวมทั้งจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนไม่ให้เอื้อต่อการใช้บุหรี่ไฟฟ้า และ 4) ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งตรวจสอบ เฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าโดยรอบโรงเรียนอย่างเคร่งครัด และเร่งปราบปรามการโฆษณาและขายบุหรี่ไฟฟ้าทางสื่อออนไลน์จริงจังต่อเนื่อง