In News

นายกฯแถลงข่าวหลังประชุมครม.สัญจร 'กระตุ้นศก.-แลนด์บริดจ์-คนยิวที่ปาย'



สงขลา-นายกรัฐมนตรี มั่นใจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 68 ทำจีดีพีขยับขึ้นแน่นอน หลังปี 67 รั้งท้ายอาเซียน ย้ำทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาที่สะสมมายาวนาน ส่วนกรณีเสียงคัดค้านแลนด์บริดจ์ มอบหมายให้รัฐบาลชี้แจง ทำความเข้าใจกับ ปชช. ระบุ การเปลี่ยนแปลงต้องมีการปรับตัว และนายกฯได้ย้ำถึงกระแสข่าวชาวอิสราเอลที่อาศัยในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนติดป้ายประกาศห้ามคนไทยเข้าพื้นที่ ตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง นอกจากนี้สีสันในการประชุมครั้งนี้นายกฯนำคณะรัฐมนตรีสวมเสื้อ “ผ้าบาติกลายสมิหลา” เยี่ยมชมนิทรรศการท้องถิ่น โพรโมตสินค้า OTOP ผลักดัน Soft Power ท้องถิ่น ก่อนเข้าประชุม ครม. สัญจร

นายกฯมั่นใจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 68 ทำจีดีพีขยับขึ้นแน่นอน หลังปี 67 รั้งท้ายอาเซียน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 11.40 น. ณ  บริเวณห้องคอนเวนชั่น ฮอลล์ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นางสาวแพทองธาร  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า  จีดีพีไตรมาส 4  ปี 2567 เติบโตขึ้นเกือบทุกมิติ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลง ปัจจัยสำคัญมาจาก SME  ซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 75% ของประเทศ  และธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยสินเชื่อต่ำ เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาธุรกิจต่าง ๆของภาคเอกชนลดน้อยลง บางอุตสาหกรรมเปิดกิจการมานานแล้ว พอไม่ได้เงินสินเชื่อในการพัฒนา ภาครัฐจึงพยายามทำในทุก ๆ เรื่องเพื่อสนับสนุนกระตุ้นเศรษฐกิจให้เอกชนมีการลงทุนเพิ่มเติม จำเป็นต้องให้การเงินการคลังทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ให้ประชาชนได้รับประโยชน์
 นายกรัฐมนตรี  กล่าวต่อว่า อัตราเงินเฟ้อตอนนี้อยู่ระดับต่ำ เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องช่วยกัน ทุกภาคส่วนมีความสำคัญอย่างมาก รัฐบาลจะทำอยู่ฝั่งเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีสภาพัฒน์ฯ ระบุว่า ปี 68 จีดีพีจะโตแค่ 2.8 ต่ำกว่าที่รัฐบาลต้องการถึง 3- 3.5 % รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรบ้าง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อย่างที่ได้บอกไปเรื่องของสินเชื่อ รัฐบาลต้องคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อร่วมมือกัน เพราะสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะทำคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลายอย่าง เช่น เอกชนที่ทำอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ธุรกิจไม่ถูกพัฒนา สถานที่ต่างๆ ก็ยังไม่ถูกพัฒนา อย่างเช่นการลงพื้นที่ครั้งนี้ รัฐมนตรีหลายคนไปหลายจังหวัดซึ่งมีศักยภาพอย่างมาก และอย่างที่ตนเองย้ำว่า การท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองหลักอย่างเดียว เมืองรองก็สำคัญมากเช่นกัน ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องทำต่อ นอกจากการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวแล้วการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคเอกชนต้องดูด้วยว่าก่อนที่จะลงทุนเพิ่มในระบบทำได้อย่างไรบ้าง จะต้องย้อนกลับมาในเรื่องของการเงินด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากดูในภาพรวมจีดีพี ปี 2567 ของไทยถือว่ารั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน จากมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมากระตุ้นเศรษฐกิจจะทำให้ตัวเลขจีดีพีสามารถขยับขึ้นได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กระทรวงการคลังตั้งเป้าไว้ที่ 3% และจะพยายามดันให้ถึง 3.5% เพราะฉะนั้นมั่นใจว่า เดือนที่เหลือของปี 2568 จะผลักดันอย่างเต็มที่ รวมถึงจะมีการพูดคุยกับธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สำคัญที่จะต้องร่วมมือกันจริง ๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่าปัจจัยกระตุ้นจีดีพีนอกจากเรื่องของการท่องเที่ยวยังมีเรื่องใดอีกบ้าง  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องการลงทุน ตนเองได้พบกับผู้นำหลายประเทศเพื่อดึงการลงทุนจากต่างประเทศ หากถามว่าเศรษฐกิจแย่ ก็แย่มาเป็นพักใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นการผลักดันจากทุกส่วนมีความสำคัญมาก เราไม่สามารถจะทำเพียงอย่างหนึ่งอย่างเดียว แล้วจะเกิดเรื่องมหัศจรรย์ เศรษฐกิจจะดีขึ้นทันที  ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ได้ออกมาแค่นโยบายเพื่อกระตุ้นจีดีพี  ทุกกระทรวงต้องทำร่วมกัน รวมถึงเอกชนต้องช่วยด้วย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้หรือปีสองปีที่แล้ว แต่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงต้องช่วยกันทุกฝ่าย

ผู้สื่อข่าวถามว่าจากการลงพื้นที่พบว่าหลายจังหวัดมีศักยภาพ จะต้องกำชับหรือกระตุ้นผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างไร  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ไปในแต่ละจังหวัดช่วยได้อย่างมาก ในส่วนของท้องถิ่นได้ บางพื้นที่ก็แก้ปัญหาได้ในท้องถิ่น ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผู้ว่าฯ ในทุกจังหวัดมีความพร้อมมากในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ  ทั้งนี้ การลงพื้นที่เพื่อติดตามนโยบายต่าง ๆ ของภาคใต้ รัฐบาลจะผลักดันอย่างเต็มที่ และประชาชนที่ได้ประสบปัญหา ขอให้สบายใจว่ารัฐบาลกำลังทำทุกอย่างเต็มที่ จะร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อผลักดัน เศรษฐกิจ ไปพร้อมกัน

ส่วนกรณีเสียงคัดค้านแลนด์บริดจ์ระบุการเปลี่ยนแปลงต้องมีการปรับตัว

นางสาวแพทองธาร  กล่าวถึงกรณี โครงการแลนด์บริดจ์ ที่มีประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วย จะดำเนินการชี้แจงอย่างไร ว่า มีรัฐมนตรีต่างๆ ช่วยอธิบาย อีกทั้งยังจะมีการจัดทำ workshop ในพื้นที่ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลมองไว้อยู่แล้ว เพื่อทำให้ประชาชนเข้าใจมากยิ่งขึ้น ว่าเมื่อโครงการเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว จะเกิดผลดีเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งก็ต้องมีการปรับตัวและมีความเข้าใจ ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่าเป้าหมายคืออะไร และประเทศชาติจะได้ประโยชน์อย่างไร ดังนั้นเรื่องของม็อบหรืออะไรต่างๆ ขอให้รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบพูดคุยด้วยตนเอง ว่าจริงๆ แล้วความคิดเห็นของประชาชนมีความสำคัญต่อรัฐบาล การพูดคุยอธิบายให้เข้าใจและรับเสนอข้อเรียกร้องจากประชาชน ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะฉะนั้นรัฐบาลพร้อมที่จะเปิดรับและพูดคุยกับทุกฝ่ายที่มีข้อเสนอแนะอย่างแน่นอน

ย้ำกระแสข่าวชาวอิสราเอลที่อำเภอปายตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวชาวอิสราเอลที่อาศัยในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนหลายพันคน ติดป้ายประกาศห้ามคนไทยเข้าพื้นที่ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ และบานปลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศว่า จากการตรวจสอบไม่เป็นความจริงตามที่เป็นข่าว  โดยในสัปดาห์หน้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะมีการลงพื้นที่

ส่วนกรณีที่มีชาวกัมพูชา ขึ้นไปร้องเพลงบนปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เขตรอยต่อชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา ทำให้หลายคนไม่สบายใจ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ได้มีการพูดคุยกันในพื้นที่แล้ว ซึ่งในการเยือนประเทศกัมพูชา เร็วๆ นี้ จะมีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยอย่างแน่นอน

นายกฯพร้อมคณะรัฐมนตรีร่วมสวมเสื้อ“ผ้าบาติกลายสมิหลา”

ก่อนเข้าประชุมครม.สัญจรที่สงขลานายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีร่วมสวมเสื้อ “ผ้าบาติกลายสมิหลา” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรูปปั้นนางเงือกทอง ณ ชายหาดสมิหลา แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา สำหรับสีสันลวดลายบนผืนผ้ามาจากการผสมผสานระหว่างรูปปั้นนางเงือกทองและท้องทะเลอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่งดงามและเสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่งของชายหาดสมิหลา

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมบูธนิทรรศการซึ่งประกอบด้วย นิทรรศการ Go Songkhla by Tuk Tuk นิทรรศการเมืองมรดกโลก/Gastronomy นิทรรศการส่งต่อทันใจ ผู้ป่วยปลอดภัย นิทรรศการที่นี่มีบ้าน (ให้ยืม) @Songkhla นิทรรศการเชื่อมใต้น้ำ หนึ่งเดียวในไทย นิทรรศการบำบัดดี มีงานทำ นิทรรศการ PSU Smart campus และนิทรรศการเสน่ห์สงขลา (เมืองสงขลา OTOP สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน) อาทิ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟสะบ้าย้อย สินค้า Soft Power หอการค้าจังหวัดสงขลา กลุ่มหัตถกรรมใยตาลสทิงพระ (กลุ่มโหนดทิ้ง) วิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์หัตถกรรมลูกปัดมโนราห์บ้านขาว กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าสะพานพลา/เด็กทอผ้า และท่องเที่ยววิถีชุมชน ฅนท่าข้าม

โดยนายกรัฐมนตรีได้ทักทายนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 100 คน ที่รอให้การต้อนรับพร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับชมการแสดงมโนราห์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตสงขลา ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านอันทรงคุณค่าของภาคใต้

สำหรับการประชุม ครม. สัญจรครั้งนี้ นอกจากจะเป็นเวทีหารือแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาภูมิภาคแล้ว ยังเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมและศักยภาพของสงขลาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย