Travel Soft Power & Sport

โรงแรมเครือเซ็นทรัลฯรายได้2.4หมื่นล. คาดปี2568ท่องเที่ยวบูมดันโตอีก23%



กรุงเทพฯ-บริษัทโรงแรมบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาจำกัด ผู้บริหารเครือโรงแรมเซ็นทารา โฮเตลและรีสอร์ทเผยผลประกอบการตลอดปี2567 กำไรพุ่ง 8% เติบโตตามยอดการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทั้งไทย มัลดีฟส์ ดูไบและญี่ปุ่น ขณะธุรกิจด้านอาหารเติบโตจากปีก่อนเพิ่มขึ้น 4% การคาดการธุรกิจโรงแรมและอาหารในปี 2568  ธุรกิจโรงแรมคาดว่า จะเติบโต 23% และธุรกิจอาหารเติบโต 5%

นายกันย์ ศรีสมพงษ์  ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน และ รองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร   บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ชี้แจงคำอธิบายและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 3เดือน สิ้นสุดวันที่ 31ธันวาคม 2567(ไตรมาส 4) โดยมีรายละเอียดดังนี้  1.ภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยมัลดีฟส์ ดูไบ และญี่ปุ่น 2.วิเคราะห์ผลการดำเนินงานรวม และรายธุรกิจของบริษัทฯ 3.สถานะทางการเงินและ4.ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานปี 2568

1. ภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย มัลดีฟส์ ดูไบและญี่ปุ่น

สำหรับการท่องเที่ยวของประเทศไทย สำหรับปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.4 ล้านคน หรือเติบโต 26% เทียบปีก่อน สาเหตุหลักมาจากจำนวนนักท่องเทียวชาวจีนเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านคน เทียบปีก่อน หรือคิดเป็น 43% ของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด ทั้งนี้นักท่องเที่ยว 3 อันดับแรกได้แก่ จีน 19%, มาเลเซีย 14% และ อินเดีย 6% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด

-การท่องเที่ยวมัลดีฟส์ สำหรับ ปี 2567มีนักท่องเที่ยวรวม 2.0 ล้านคน เพิ่มขึ้น 168,072 คน หรือ เพิ่มขึ้น9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 76,215 คน หรือ คิดเป็น 41% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดเทียบปีก่อน ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียลดลงอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 78,388 คน หรือลดลง 37% เทียบปีก่อน ทั้งนี้นักท่องเที่ยว 3 อันดับแรกได้แก่ จีน 13%, รัสเซีย 11% และสหราชอาณาจักร 9% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด

 การท่องเที่ยวดูไบ สำหรับปี 2567 มีนักท่องเที่ยวรวม 18.7 ล้านคน เติบโต 9% เทียบปีก่อน ทั้งนี้นักท่องเที่ยว 3 อันดับแรก ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันตก 20%, เอเชียใต้ 17% และกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) 15% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

การท่องเที่ยวญี่ปุ่น สำหรับปี 2567มีนักท่องเที่ยวรวม 36.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11.8 ล้านคนหรือ เพิ่มขึ้น47% เทียบปีก่อน ทั้งนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้น 4.6 ล้านคน เทียบปีก่อน คิดเป็น 39% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด นักท่องเที่ยว 3 อันดับแรกได้แก่ เกาหลีใต้ 24%, จีน 19% และไต้หวัน 16% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด

2. วิเคราะห์ผลการดำเนินงานรวม และรายธุรกิจของบริษัทฯ

ผลการดำเนินงานสำหรับปี 2567  ปี 2567: บริษัทฯมีรายได้รวม24,239ล้านบาท (ปี 2566: 22,547ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1,692 ล้านบาท (หรือ 8%) โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมต่อรายได้จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 46%:54% (ปี 2566: 44%:56%) ขณะที่กำไรขั้นต้นรวม13,153ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,006 ล้านบาท หรือ 8%เทียบปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 57% ของรายได้ (ไม่รวมรายได้อื่น) เพิ่มขึ้น 1% เทียบกับปีก่อน (ปี 2566: 56%) บริษัทฯมีกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA)รวม6,444 ล้านบาท (ปี 2566: 5,535ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 909ล้านบาท (หรือเพิ่มขึ้น 16%) จากปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ ต่อรายได้รวม (% EBITDA)27% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีก่อน (ปี 2566 :25%) จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงการรับรู้กำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าปรับตัวดีขึ้นเทียบกับปีก่อน บริษัทฯมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ (EBIT) จำนวน 3,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 675 ล้านบาท เทียบปีก่อน (หรือเติบโต 27%)และกำไรสุทธิจำนวน 1,753 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% เทียบปีก่อน (ปี 2566:1,248 ล้านบาท)

สำหรับปี 2567 บริษัทฯ รับรู้กำไรจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับเงินกู้ยืมสกุลเงินต่างประเทศจำนวน 121 ล้านบาท (ปี 2566:80 ล้านบาท) และมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นครั้งเดียว (One-time item) ซึ่งประกอบด้วย 1) ค่าใช้จ่ายก่อนการเปิดดำเนินงาน (pre-opening expenses) ของโรงแรมมัลดีฟส์แห่งใหม่ทั้ง 2 โรงแรมจำนวน 63 ล้านบาท 2) การกลับรายการด้อยค่าของสินทรัพย์สุทธิภาษีเงินได้รอตัดบัญชีและค่าเสื่อมราคา 17 ล้านบาท3) ตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าในค่าความนิยมแบรนด์บราวน์ คาเฟ่ จำนวน 21 ล้านบาท 4) ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีจากโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ไอส์แลนด์ รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์ จำนวน 106 ล้านบาทและ 5)การตั้งประมาณการหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นตามกฏหมายแรงงานสุทธิกับภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจำนวน 39ล้านบาท

ผลการดำเนินงานธุรกิจอาหารสำหรับปี 2567   สำหรับผลประกอบการในปี 2567รายได้จากธุรกิจอาหารรวม13,077ล้านบาท เพิ่มขึ้น 462 ล้านบาท (หรือเพิ่มขึ้น 4%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (%SSS)ไม่รวมแบรนด์ร่วมทุนและแบรนด์ เดอะ เทอเรสที่รับบริหาร1% (ปี 2566: 4%) ขณะที่ภาพรวมอัตราการเติบโตจากยอดขายรวม(%TSS)ไม่รวมแบรนด์ร่วมทุนและแบรนด์ เดอะ เทอเรสที่รับบริหาร อยู่ที่ 4% (ปี 2566:8%)  ธุรกิจอาหารมีกำไรขั้นต้น 6,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 54% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน(ปี2566: 53%) และมีกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA) อยู่ที่2,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (ปี 2566:2,251 ล้านบาท)โดยมีอัตราส่วนEBITDA ต่อรายได้รวม (% EBITDA) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 20% (ปี 2566:18%)ธุรกิจอาหารมีกำไรสุทธิ656 ล้านบาท เติบโต 37% เทียบปีก่อน  (ปี 2566:479 ล้านบาท)

3. สถานะทางการเงิน

ฐานะการเงินและกระแสเงินสด  ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม60,761 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,557ล้านบาท หรือ 12% เทียบกับสิ้นปี 2566สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์จำนวน 6,023 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการก่อสร้าง 2 โรงแรมใหม่ที่มัลดีฟส์, การปรับปรุงห้องพักที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา และโรงแรมเซ็นทารา กะรน ภูเก็ตนอกจากนี้สินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 400 ล้านบาท, สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 303 ล้านบาทและ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้น 139 ล้านบาทในขณะที่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นลดลง 161 ล้านบาทและ สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีลดลง 130 ล้านบาทเทียบสิ้นปี 2566

หนี้สินรวม มีจำนวน39,811 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,625ล้านบาท หรือ 16% เทียบสิ้นปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 2,388 ล้านบาท, เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจำนวน 1,106 ล้านบาท และ เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่นเพิ่มขึ้น 978 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566

บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมจำนวน20,950ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 932ล้านบาทจากกำไรสุทธิปี 2567 จำนวน 1,753 ล้านบาทสุทธิด้วยเงินปันผลจ่าย567ล้านบาทและการลดลงของผลต่างจากการแปลงค่างบการเงินที่เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวน147 ล้านบาท และการลดลงของส่วนของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อยจำนวน 107ล้านบาท

สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯมีกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน6,622 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,702 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน กระแสเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุนจำนวน7,306ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,721 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการจ่ายเพื่อซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์จำนวน 7,093 ล้านบาท บริษัทฯมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน1,023 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 4,909 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เกิดจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิจำนวน 2,575ล้านบาท, เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิจำนวน1,102 ล้านบาทและมีหุ้นกู้เพิ่มขึ้นสุทธิ319ล้านบาท ขณะที่มีการจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่า 1,728 ล้านบาท และการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯจำนวน 567 ล้านบาท

4.ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงาน2568

ธุรกิจโรงแรม: สำหรับปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกคาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดย United Nations World Tourism Organization (UNWTO) ประมาณการว่าการท่องเที่ยวโลกในปี 2568 จะขยายตัว 3% - 5% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด (ปี 2562)ทั้งนี้ การท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวโลก เนื่องจากภูมิภาคนี้ฟื้นตัวช้ากว่าภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยท้าทายหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาทิภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง

บริษัทคาดว่า ในปี 2568โรงแรมในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวผ่านแคมเปญและมาตรการของรัฐบาล รวมถึงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน และอิทธิพลจากความนิยมที่ต่อเนื่องของประเทศไทยในฐานะแหล่งท่องเที่ยวสำหรับโรงแรมในญี่ปุ่น ปีนี้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการจัดงาน World Expo 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองโอซาก้าในช่วงเดือนเมษายน – ตุลาคม 2568 โดยคาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจำนวนมากสำหรับโรงแรมในมัลดีฟส์ คาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและการเปิดใช้งานอาคารผู้โดยสารใหม่ของสนามบินนานาชาติที่มัลดีฟส์

ทั้งนี้ บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานด้วยความระมัดระวังโดยการปรับกลยุทธ์ทางการขายและตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง การติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่าย เน้นการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ การมีวินัยทางการเงิน ขณะที่บริษัทฯยังคงการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจเพื่อสร้างความเติบโตในอนาคต ด้วยการจัดสรรเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ  โดยการจัดหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนที่เหมาะสมจากการกู้ยืมเงินสถาบันการเงิน และการออกตราสารหนี้ตามภาวะตลาดการเงิน

1. ในปี 2568 บริษัทจะรับรู้รายได้เต็มปีเป็นปีแรกจากโรงแรมที่มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ ได้แก่

- โรงแรมเซ็นทารา กะรน ภูเก็ต จำนวน 330 ห้อง โรงแรมได้ปิดให้บริการทั้งหมดเพื่อดำเนินการปรับปรุงครั้งใหญ่ตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 และกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567

- โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา จำนวน 553 ห้อง โรงแรมได้ทยอยปิดห้องพักเพื่อปรับปรุงตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 และทยอยเปิดดำเนินการห้องพักที่ปรับปรุงใหม่ในแต่ละเฟส ตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 การปรับปรุงโรงแรมได้แล้วเสร็จ และเปิดให้บริการห้องพักที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

2. การเปิดบริการโรงแรมในมัลดีฟส์จำนวน 2โรงแรม และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

ในปี 2568 บริษัทจะรับรู้รายได้เต็มปีเป็นปีแรกสำหรับโรงแรมเซ็นทารามิราจ ลากูน มัลดีฟส์ จำนวน 145 ห้อง ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567

กำหนดเปิดโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ จำนวน 142 ห้อง ในเดือน เมษายน2568

คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายในช่วงเตรียมเปิดดำเนินการ (pre-opening expenses) โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ ประมาณ 40-50 ล้านบาท ในปี 2568โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะรับรู้ในไตรมาส 1/2568

3. แผนสำหรับการปรับปรุงใหญ่ (Major Renovation) ในปี 2568

-โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท แอนด์ วิลลา หัวหิน จำนวน 251ห้อง กำหนดเริ่มทยอยปิดบางส่วนเพื่อปรับปรุงในช่วงไตรมาส 2/2568โดยโรงแรมยังคงเปิดให้บริการในช่วงการปรับปรุงดังกล่าว

- โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลลา กระบี่ จำนวน 192ห้อง โดยเริ่มปิดโรงแรมทั้งหมดเพื่อปรับปรุงในช่วงไตรมาส2/2568

ธุรกิจอาหาร: ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากในแต่ละปีมีผู้ประกอบการใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเป็นจำนวนมากบริษัทฯจึงให้ความสำคัญในการสร้างและพัฒนาแบรนด์เพื่อสร้างความคุ้มค่าและประสบการณ์ที่ดีในการรับประทานอาหารของลูกค้า  หาแบรนด์ใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มมีการเติบโตที่ดีมาเสริมทัพ หาช่องทางการขายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงของลูกค้า และ เน้นการบริหารจัดการต้นทุนในด้านต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความเติบโตของรายได้และกำไรอย่างยั่งยืน  ทั้งนี้บริษัทได้มีการวางแผนรับมือความผันผวนของราคาวัตถุดิบ โดยได้มีการดูแนวโน้มราคาเพื่อวางแผนในการเจรจาต่อรองกับผู้ขายวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง หาแหล่งวัตถุดิบทดแทน และมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสำหรับวัตถุดิบหลักในบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา  บริษัทฯเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยการเตรียมการจัดตารางการทำงานพนักงานให้เป็นมาตรฐานตามยอดขายและนำเทคโนโลยีมาใช้นอกเหนือจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมีแผนการปิดสาขาที่ไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมาย มุ่งเน้นการขยายและการกำไรในแบรนด์หลักเพื่อเพิ่มอัตราทำกำไรของบริษัทฯ และพิจารณาเปิดสาขาใหม่ด้วยความระมัดระวังโดยมุ่งเน้นการขยายสาขาในแบรนด์หลักที่มีอัตราการทำกำไรสูง รวมถึงการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สะท้อนกับยอดขายหรือกลุ่มลูกค้าที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน

แผนการเติบโตธุรกิจแบบยั่งยืน  จากความมุ่งมั่นในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปีพ.ศ. 2593 บริษัทได้ดำเนินงานตามแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมที่วางไว้ในปี 2567 โดยมีผลการดำเนินงานดังนี้ อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อห้องพักที่มีการใช้งานอยู่ที่ 31.17kgCo2e/Occupied Room (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อห้องพัก) ดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้ของปี 2567 คิดเป็น 19% เพิ่มสัดส่วนการใช้ Renewable Energy ด้วยการติดตั้งโซล่าเซลล์ทั้งหมด 8 โรงแรม สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 1,777 MWh (เมกะวัตต์ชั่วโมง) ลดปริมาณการใช้น้ำต่อห้องพักที่มีการใช้งานดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 18% ลดปริมาณขยะไปหลุมฝังกลบได้ 2,333.93 ตัน อัตราของ Recycling Rate อยู่ที่ 29.04% เพิ่มขึ้น 2.67%  ด้านการรับรองการดำเนินด้านการท่องเที่ยวอย่างยืน จาก GSTC (Global Sustainable Tourism Council) จำนวนโรงแรมที่ผ่านการรับรองจาก GSTC คิดเป็น 92.8% จากเป้าหมาย 100% ภายในปี 2568 นอกจากนี้บริษัทยังได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิก S&P Global Sustainability Yearbook Member ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 , MSCIESG Rating “A” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2,  ผลการประเมิน SET ESG Rating 2024 ระดับ AAA และผ่านการรับรองความปลอดภัยของข้อมูลตามมาตรฐาน ISO/IEC 27001 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของบริษัท

นอกจากนี้ได้จัดทำ โครงการฟาร์มผักออร์แกนิก โดยปรับเปลี่ยนสนามเทนนิสเก่า บริเวณชั้น 26 ของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์พื้นที่ประมาณ 1,300 ตร.ม. เป็นฟาร์มผักออร์แกนิค สำหรับปลูกผัก 23 ชนิดตามความต้องการใช้งาน อาทิ ผักสลัด เช่น กรีนโอ๊ก เรดโอ๊ก กรีนคอส เรดคอส เรดบัตตาเวีย ผักสวนครัวอื่นๆ อย่าง คะน้าฮ่องกง บ๊อกฉ่อย เคล อิตาเลี่ยน   เบซิล มะเขือเทศ โรสแมรี่ มะนาว พริกขี้หนู พริกสเปน และมีดอกไม้กินได้เพื่อใช้ในโรงแรม พร้อมพื้นที่ทำปุ๋ยหมักจากเศษผัก ผลไม้และกากกาแฟ ผลผลิตผักออร์แกนิคในปี 2567 รวมทั้งสิ้น 3,777 กิโลกรัม สามารถประหยัดค่าใช้จ่าย 445,000 บาท ปริมาณขยะอาหาร เศษผักผลไม้นำมาทำปุ๋ยในฟาร์ม 9,729 กิโลกรัม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.6 tCo2e ปัจจุบัน โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา จำนวน 18 แห่ง มีแปลงผักสวนครัวและสมุนไพรของตัวเอง (Organic Vegetable & Herb Garden) เพื่อใช้ในโรงแรม 

เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืน ในเดือนตุลาคม 2567 บริษัทได้ทำ sustainability-linked finance framework โดยมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน 2 เป้าหมายคือ 1) การลดการปล่อย GHG ต่อห้องพักที่ขายได้ใน scope 1 และ 2 ลง 40% ในปี 2030 และ 2) การลดการใช้น้ำต่อห้องพักที่ขายได้ ลง 20% ในปี 2030 และบริษัทยังได้เสนอขายหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนเป็นจำนวน 1,000 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 2567 อีกด้วย

แนวโน้มธุรกิจปี 2568  

1.ธุรกิจโรงแรม: ภาพรวมปี 2568 คาดการณ์อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (รวมโรงแรมร่วมทุน) 74% - 77% รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) อยู่ที่ 4,500 – 4,800 บาทและรายได้รวม (รวมโรงแรมร่วมทุน) คาดว่าจะเติบโตประมาณ23% YoYโดยปัจจัยส่งเสริมการเติบโตที่สำคัญ ดังนี้

- การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้โรงแรมในประเทศไทย

- การรับรู้รายได้เต็มปีเป็นปีแรกจากโรงแรมที่มีการปรับปรุงครั้งใหญ่และ โรงแรมเปิดใหม่ ของ โรงแรมเซ็นทารา กะรน ภูเก็ต, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา และ โรงแรมเซ็นทารามิราจ ลากูน มัลดีฟส์

- กำหนดการเปิด โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ ในเดือน เมษายน 2568และผลการดำเนินงานเต็มปี ปีแรกของ โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์

- ผลการดำเนินงานของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ โอซาก้า ซึ่งคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากงาน World EXPO 2025 ในช่วง เมษายน – ตุลาคม 2568

2 ธุรกิจอาหาร: ในปี 2568 บริษัทฯ ประมาณการอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (Same-Store-Sales: SSS) (ไม่รวมกิจการร่วมค้า)3% - 5% เทียบปีก่อน และอัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา (Total-System-Sales: TSS) จะอยู่ในช่วง 6% - 8% เทียบปีที่ผ่านมาสำหรับการขยายสาขา ณ สิ้นปี 2568 คาดว่าจำนวนสาขาจะเพิ่มขึ้นประมาณ4%-5% เทียบสิ้นปี 2567จากการ มุ่งเน้นการขยายสาขาในแบรนด์ที่มีอัตราทำกำไรสูงเป็นหลัก