Travel Soft Power & Sport

เซ็นทาราเปิดแผนธุรกิจ-กลยุทธ์โตปี68 เปิดเพิ่ม9โรงแรม/ปรับโฉม/แบรนด์ใหม่



กรุงเทพฯ –28กุมภาพันธ์2568 – โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราเครือโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย เผยแผนธุรกิจและกลยุทธ์เติบโตในปีพ.ศ. 2568เดินหน้าขยายสาขาไปยังตลาดใหม่ทั่วโลกพร้อมพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า มุ่งมั่นก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายในปีพ.ศ. 2570 และเป็นแบรนด์ที่เป็นสถานที่แห่งความสุข สมดังสโลแกนThe Place to Be สำหรับนักเดินทางทั่วโลก

ปีพ.. 2567ที่ผ่านมา นับเป็นอีกปีแห่งความสำเร็จของเซ็นทารา โดยโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีรายได้รวมอยู่ที่ 11,162 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,230 ล้านบาท (หรือ 12%) เทียบปีก่อนโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีกำไรสุทธิจำนวน 1,097 ล้านบาทเติบโตขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของผลการดำเนินงานของรีสอร์ทในมัลดีฟส์ ซึ่งล่าสุดได้เปิดให้บริการเซ็นทารา มิราจ ลากูน  มัลดีฟส์ รีสอร์ทธีมดินแดนใต้น้ำสุดมหัศจรรย์บนเกาะสวรรค์ในพื้นที่มาเล่ อะทอลล์เหนือ หนึ่งในเกาะในกลุ่มมัลดีฟส์อันสวยงามไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และกำลังจะเปิดให้บริการเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ รีสอร์ทหรูเพื่อการพักผ่อนแบบเหนือระดับบนเกาะเดียวกันในเดือนเมษายนนี้ซึ่งนั่นจะทำให้เซ็นทารามีโรงแรมและรีสอร์ทในมัลดีฟส์รวมกันทั้งสิ้น4 โรงแรม ภายใต้แบรนด์และธีมที่แตกต่างกันออกไปได้แก่ แบรนด์เซ็นทารา(Centara), แบรนด์เซ็นทารา แกรนด์ (Centara Grand),แบรนด์เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น(The Centara Collection) และรีสอร์ทภายใต้ธีมมิราจเพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้าในตลาดมัลดีฟส์

ในด้านกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาแบรนด์ เซ็นทาราได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆ ตลอดช่วงไม่กี่ปีมานี้ เริ่มตั้งแต่การเปิดตัว แบรนด์สุดหรูอย่างเซ็นทารารีเซิร์ฟ (Centara Reserve) และแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่พร้อมมอบอิสระแห่งการพักผ่อนอย่างเซ็นทารา ไลฟ์ (Centara Life) โดยล่าสุดในเดือนมกราคมปีนี้ เซ็นทาราได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่อีกแบรนด์ คือ เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น(The Centara Collection) แบรนด์ใหม่ล่าสุดในเครือ ที่นำเสนอโรงแรมที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตนอย่างแตกต่าง ผ่านดีไซน์ มนต์เสน่ห์ท้องถิ่น และประสบการณ์เข้าพักอันน่าประทับใจ โดยในปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้แบรนด์นี้ทั้งหมด 3 โรงแรม คือ มัชชาฟูชิ ไอส์แลนด์ รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์, รุกข์ คีรี เขาใหญ่และวารีวาน่า รีสอร์ท เกาะพะงัน ซึ่งเซ็นทารามีแผนจะขยายโรงแรมภายใต้แบรนด์นี้ไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้นอีกในปีนี้

นอกจากนั้น ในปีพ.. 2567 ที่ผ่านมา เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา และเซ็นทารากะรน รีสอร์ท ภูเก็ต ซึ่งถือเป็นอีกสองโรงแรมแฟล็คชิพของเครือเซ็นทาราในประเทศไทย ก็ยังได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งหลังปิดปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งเซ็นทารายังมีแผนปรับโฉมโรงแรมสำคัญอีกสองแห่งในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในปีนี้ นั่นคือเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลล่า หัวหิน โรงแรมชื่อดังระดับตำนาน ที่เริ่มทยอยปิดปรับปรุงพื้นที่บางส่วนเพื่อสร้างเป็นห้องพักประเภทวิลล่าสุดหรูอีก 70 หลัง โดยจะอยู่ภายใต้แบรนด์ เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) ผนวกเข้ากับห้องพักที่จะสร้างใหม่เพิ่มอีก 200 ห้อง ภายใต้แบรนด์เซ็นทารา ไลฟ์ (Centara Life) ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำเซ็นทารามีห้องพักกว่า 484 ห้องให้บริการภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย รวมทั้งเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลล่า กระบี่รีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งส่วนตัวอันเงียบสงบและงดงามของทะเลอันดามัน ก็มีแผนจะปิดปรับปรุงครั้งสำคัญในปีนี้ด้วยเช่นกัน โดยตั้งเป้าให้กลายมาเป็นเซ็นทารา รีเซิร์ฟ(Centara Reserve) โรงแรมหรูระดับลักชัวรีแห่งที่สองของโลก ที่มุ่งเน้นการบริการอันเหนือระดับเพื่อรังสรรค์ประสบการณ์การเข้าพักที่จะเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวสุดงดงาม 

และเพื่อให้แผนการปรับปรุงโรงแรมและรีแบรนด์สมบูรณ์ที่สุด เซ็นทารายังตั้งเป้าเปิดโรงแรมและรีสอร์ทอีกทั้งสิ้น 9 แห่งในปีนี้ โดยหลังจากที่จะเปิดให้บริการโรงแรมในกระแส อย่างเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์(ให้บริการห้องพัก 142 ห้อง) ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้แล้ว ยังมีโรงแรมในต่างประเทศอีก 4 แห่ง ต่อคิวเพื่อรอเปิดให้บริการอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อันนะปุรณะ เมาท์เทน รีสอร์ท และโรงแรมภายใต้แบรนด์เดอะเซ็นทารา คอลเลคชั่น (The Centara Collection) อีกหนึ่งแห่งบนเกาะบาหลี ที่จะกลายมาเป็นรีสอร์ทแรกภายใต้เครือเซ็นทาราในประเทศเนปาลและอินโดนีเซีย รวมถึงโรงแรมใหม่อีก 2 แห่งในเวียดนาม ได้แก่ โรงแรมเซ็นทารา และเรสซิเดนซ์ วังดอน และคริสตัล ฮอลิเดย์ ฮาร์เบอร์ วังดอน ที่เมื่อรวมกันแล้วจะมีห้องพักให้บริการทั้งสิ้นถึง 977 ห้องด้วยกัน

ปัจจุบันเซ็นทารามีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งหมด 51 แห่ง พร้อมเดินหน้าตอกย้ำความเป็นเครือโรงแรมชั้นนำ ด้วยการเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศเพิ่มอีก 9 แห่ง ในปีพ.ศ. 2568 นี้เช่นบนเกาะพีพี, เกาะสมุย และในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ทั้งนี้ การเปิดให้บริการโรงแรมใหม่และการปรับโฉมโรงแรมต่างๆในปีนี้เซ็นทาราคาดว่าจะช่วยส่งผลให้ราคาห้องพักเฉลี่ยและรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) ของเซ็นทาราเพิ่มขึ้นโดยคาดว่ารายได้รวม (รวมโรงแรมร่วมทุน) จะเติบโตประมาณ 23%ในปีนี้

ด้านการยกระดับประสบการณ์การบริการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าเซ็นทารายังเตรียมนำเสนออีกหลากหลายประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ใหม่ๆภายใต้แบรนด์เซ็นทาราแกรนด์และแบรนด์เซ็นทารารวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อช่วยให้ลูกค้าจองห้องพักได้อย่างสะดวกง่ายดายและได้รับประสบการณ์การบริการเฉพาะบุคคลอันน่าประทับใจยิ่งขึ้นอีกทั้งการนำระบบแชทบอทAIเข้ามาใช้ในการจองผ่านช่องทางของเซ็นทารา และการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เซ็นทาราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนพร้อมกับแผนระยะยาวในการลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังอาทิการลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% และลดการใช้น้ำและการทิ้งขยะไปสู่หลุมฝังกลบ 20% ภายในปีพ.ศ. 2572  โดยเทียบกับปีฐาน 2562 รวมทั้งการตั้งเป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (NET ZERO) ภายในปีพ.ศ. 2593 โดยในปีพ.ศ. 2567 เซ็นทาราสามารถลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อห้องพักที่มีการใช้งาน (per occupied room) ได้ดีกว่าเป้าหมายในปีเดียวกันที่ตั้งไว้มากถึง 19% และโรงแรมในเครือเซ็นทารา 8 แห่งได้ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel) เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อช่วยประหยัดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอีกทั้งโรงแรมและรีสอร์ทในเครือยังได้รับการรับรองด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจากGlobal Sustainable Tourism Council (GSTC) เพิ่มขึ้นถึง 93% ทำให้เซ็นทาราเป็นเครือโรงแรมแรกในไทยที่ได้รับการรับรองจากGSTC

นอกจากนั้นเซ็นทารายังได้รับการประเมินจากS&P Global เป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้เป็นIndustry Mover และได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกS&P Global Sustainability Yearbook 2024 , ได้รับการประเมินจากMSCI ในระดับA ต่อเนื่องเป็นปีที่สองอีกทั้งยังผ่านการประเมินSET ESG Ratings 2024 ระดับAAA  จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งนี้เซ็นทารายังให้ความสำคัญในเรื่องของความเสมอภาคและความเท่าเทียม (Equality) โดยมีการสนับสนุนการจ้างงานผู้พิการและมีสัดส่วนระดับผู้บริหารหญิงมากถึง 49% ขององค์กร

“ปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกปีแห่งความสำเร็จอันโดดเด่นของเซ็นทารา ทั้งจากกำไรสุทธิที่เติบโตถึง 43% เทียบปีก่อน, การเปิดตัวหลากหลายโปรเจกต์สำคัญ และสองโรงแรมใหม่ในมัลดีฟส์บนพื้นที่โครงการณ์ Atollia by Centaraซึ่งผมเชื่อว่าปี พ.ศ. 2568 นี้ ก็จะเป็นอีกปีที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน โดยในปีนี้เรามีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้รวม (รวมโรงแรมร่วมทุน) ให้เพิ่มขึ้น 23% , ขยายโรงแรมไปสู่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่เรายังไม่เคยไปอย่างอินโดนีเซียและเนปาลเพื่อเติบโตธุรกิจเซ็นทาราให้แข็งแกร่งในตลาดโลก และก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายใน พ.ศ. 2570 ตามเป้าหมายที่เราวางไว้” ธีระยุทธจิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารากล่าว