In Global

บทวิเคราะห์:ภาษีหนัง100%ของอเมริกา 'ปกป้องตัวเองหรือทำร้ายตัวเอง?'



มาตรการล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์ในการทำสงครามการค้า  คือ การเก็บภาษี 100% กับภาพยนตร์ที่ผลิตจากต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งได้สร้างความงุนงงแม้แต่ในกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาเอง นโยบายนี้ที่อ้างว่าทำเพื่อปกป้องฮอลลีวูด อาจกลายเป็นการทำลายฮอลลีวูดเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมนโยบายนี้ถึงไม่เพียงแค่ผิดพลาด แต่ยังเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ฮอลลีวูดไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่ควรได้รับการปกป้องจากความไม่เข้าใจทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอเมริกันเอง เพราะตลาดภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือถูกครอบครองโดยหนังอเมริกันอยู่แล้ว โดยหนังต่างประเทศมีส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อย การเก็บภาษีจากภาพยนตร์ต่างประเทศจะไม่ช่วยให้ฮอลลีวูด “รอด” แต่จะยิ่งเร่งการล่มสลายของตนเอง เช่น ทำให้โรงภาพยนตร์อินดี้ที่ฉายหนังศิลปะจากต่างประเทศต้องปิดตัวลง, ผลักผู้ชมไปสู่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งซึ่ง Netflix และ Amazon ครองตลาดอยู่แล้ว, และเปิดช่องให้ประเทศที่ลงทุนในฮอลลีวูดตอบโต้กลับ

ภาษีนี้ไม่ใช่กำแพง แต่มันคือการเชิญให้ซิลิคอนแวลลีย์เข้ามากินส่วนแบ่งเพิ่ม หากหนังต่างชาติถูกบีบไม่ให้เข้าฉายในโรง พวกเขาจะย้ายไปอยู่ในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะยิ่งเป็นผลร้ายต่อสตูดิโอเก่าที่ยังพึ่งพารายได้จากโรงภาพยนตร์ เพราะในปัจจุบัน 73% ของชาวอเมริกันเลือกดูหนังผ่านการสตรีมเป็นหลักอยู่แล้ว นโยบายนี้จึงเหมือนการอุดหนุนให้คู่แข่งของ Disney+ โดยไม่ตั้งใจ

สำหรับเวทีออสการ์ การที่หนังต่างชาติไม่สามารถเข้าฉายในอเมริกาได้เพราะต้นทุนที่สูงจากภาษี จะทำให้พวกเขาหายไปจากเวทีนี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะลดความสำคัญและชื่อเสียงระดับโลกของออสการ์ลงทันที กลายเป็นเวทีที่ถูกมองว่าเน้นความเป็นชาตินิยมมากกว่าความเป็นสากล

ความจริงคือ ฮอลลีวูดไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ “เป็นของอเมริกา” อย่างที่แสดงออก แต่เป็นอุตสาหกรรมระดับโลก ตั้งแต่การถ่ายทำในแคนาดา ไปจนถึงการแต่งดนตรีประกอบในยุโรป สตูดิโอฮอลลีวูดต้องพึ่งพาทรัพยากรทั่วโลก หากยุโรปและเอเชียโต้กลับด้วยการตั้งโควต้าหรือภาษี หนังใหญ่หลายเรื่องอาจสูญเสียรายได้เกือบครึ่งหนึ่ง

ปัญหาที่แท้จริงคือ ต้นทุนการผลิตภาพยนตร์ในอเมริกาสูงเกินไป เช่น กระบวนการโพสต์โปรดักชันในยุโรปราคาถูกกว่า การถ่ายทำในแคนาดามีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่า เอฟเฟกต์พิเศษในอินเดียหรืออังกฤษก็ประหยัดกว่า การที่ทรัมป์เลือกตอบโต้ด้วยภาษีจึงไม่ได้แก้ปัญหาจริง แต่ยิ่งลงโทษฮอลลีวูดจากความล้มเหลวของรัฐบาลตัวเอง

นอกจากด้านเศรษฐกิจ นี่ยังเป็นระเบิดทางการเมือง รัฐแคลิฟอร์เนียที่เป็นบ้านของฮอลลีวูด มีคนทำงานในอุตสาหกรรมนี้กว่า 600,000 คน และสร้างรายได้กว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อก่อนรัฐก็เคยฟ้องรัฐบาลกลางในเรื่องภาษี และคราวนี้ก็มีแนวโน้มสูงว่าจะเกิดการเผชิญหน้าอีกครั้ง

ภาษีนี้ไม่ใช่นโยบายปกป้องอุตสาหกรรม แต่คือการทำลายตัวเองอย่างช้าๆ มันจะเสริมพลังให้กับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแต่ทำลายโรงภาพยนตร์ แยกวัฒนธรรมอเมริกันออกจากเวทีโลก เปิดโอกาสให้เกิดการตอบโต้รุนแรงต่ออุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ที่อเมริกายังครองความได้เปรียบอยู่ และที่สำคัญที่สุด สิ่งเดียวที่ภาษีนี้จะปกป้องได้ คือความเชื่อที่เพิ่มขึ้นว่า สหรัฐอเมริกาไม่เข้าใจโลกยุคใหม่อีกต่อไปแล้ว

แหล่งข้อมูล:https://mp.weixin.qq.com/s/YCjL-UC8WZ_6D0Bkn9BIwghttps://newsus.cgtn.com/news/2025-05-07/White-House-targets-Hollywood-with-100-tariffs-on-movies-made-abroad-1DaidqeQW0o/p.html