In News

นายกฯร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนแล้ว วางวิสัยทัศน์20ปี/ร่วมลงนามเอกสาร9ฉบับ



กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย-นายกฯ แพทองธาร ร่วมกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่อาเซียน เพื่อขับเคลื่อนอาเซียนอีก 20 ข้างหน้าผ่าน “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และยั่งยืน” (Inclusivity and Sustainability) ย้ำ สมาชิกอาเซียนจะเป็นปึกแผ่นในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันของโลก นายกฯเน้นความสำคัญของความเป็นเอกภาพของอาเซียนในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก ย้ำความร่วมมือจากอาเซียนสำคัญต่อการฟื้นฟูสถานการณ์ในเมียนมาไทยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของมาเลเซียในการหาทางออกที่สร้างสรรค์ เมื่อวันอาทิตย์ที่25พ.ค.ที่ผ่านมา นายกฯ แพทองธาร และคณะ เดินทางถึงมาเลเซียร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 เป้าหมายส่งเสริมอาเซียนที่มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และความยั่งยืนในทุกมิติให้กับประชากรร่วมกันกว่า670ล้านคนในภูมิภาค

ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 46 กรุงกัวลาลัมเปอร์ เริ่มแล้ว..!!

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2568) เวลา 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งตรงกับเวลา 08.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 ณ ห้องประชุม Conference Hall 1 ชั้น 3 ศูนย์การประชุม Kuala Lumpur Convention Center (KLCC) กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

การประชุมอาเซียนครั้งนี้ มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ภายใต้แนวคิดหลัก “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และความยั่งยืน” (Inclusivity and Sustainability) ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ชาติ ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา รวมถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังมี ดร. เกา กิม ฮวน เลขาธิการอาเซียน และนายกรัฐมนตรีติมอร์-เลสเต เข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์

ก่อนการประชุม ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เชิญผู้นำอาเซียน ถ่ายภาพร่วมกันก่อนกล่าวเปิดการประชุม จากนั้นที่ประชุมฯ ได้หารือ ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ทิศทางการเสริมสร้างประชาคมอาเซียนให้มั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะจากความไม่แน่นอนของโลก รวมถึงแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์ของอาเซียนกับภาคีภายนอกสรุปถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสำคัญของการประชุมสุดยอดอาเซียนในครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเวลาที่ภูมิทัศน์โลกกำลังเปลี่ยนไปสู่นโยบายที่แข็งกร้าวและมุ่งผลประโยชน์ตอบแทน ถอยห่างจากแนวทางความร่วมมือพหุภาคีไปสู่การปฏิบัติฝ่ายเดียว มาตรการด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อพลวัตทางการค้าโลก และต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของอาเซียนโดยรวม พัฒนาการดังกล่าวได้ท้าทายบรรทัดฐานโลก ทำให้อาเซียนต้องประเมินยุทธศาสตร์ของอาเซียนอีกครั้ง เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นร่วมกัน โดยนายกรัฐมนตรีได้ถือโอกาสนี้ ขอบคุณต่อความพยายามของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในการส่งเสริมจุดยืนอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน

ทั้งนี้เพื่อรับมือกับภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อาเซียนจำเป็นต้องสร้าง เครือข่ายห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร และทำงานร่วมกันมุ่งไปสู่การบูรณาการระดับภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อให้อาเซียนยังคงมีบทบาทความสำคัญ ที่น่าดึงดูด และแข่งขันได้ จึงต้องมีการสนับสนุนการค้าภายในอาเซียน ใช้ประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่ให้เต็มที่ พิจารณาจัดทำ FTA กับภาคีใหม่ ๆ ควบคู่กับส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบ MSMEs เพื่อให้สามารถต่อสู้กับความท้าทายในอนาคตได้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ประเทศไทยสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อระบบการค้าพหุภาคีที่โปร่งใส เสรี ยุติธรรม และมีกฎเกณฑ์ที่คาดเดาได้ โดยประเทศไทยจะเร่งรัดการจัดทำ Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อปลดล็อคการเติบโตครั้งใหม่ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในอนาคต และแสดงให้เห็นว่า อาเซียนไม่หยุดนิ่งในการแสวงหาความก้าวหน้า ควบคู่กับการตอบสนองต่อภูมิทัศน์ของการค้าและการลงทุนระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

นอกจากนี้ เพื่อให้บรรลุการบูรณาการที่มีประสิทธิผล อาเซียนต้องส่งเสริมกลไกการเจรจาจากทั้งภายในและภายนอกที่ตรงไปตรงมา ครอบคลุม สร้างสรรค์ และมุ่งเน้นที่การแก้ปัญหา ผ่านการเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่มีพื้นฐานที่มั่นคง ยึดมั่นตามหลักการของอาเซียน การให้ความสำคัญในเรื่องเดียวกัน และขับเคลื่อนในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของพลเมืองอาเซียนอย่างแท้จริง ซึ่งไทยจะยังคงส่งเสริมสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างแข็งขัน โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับครอบครัวและหุ้นส่วนอาเซียน เพื่อให้แน่ใจว่าอาเซียนจะบรรลุถึง “การมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุมและยั่งยืน” ที่สะท้อนอยู่ในหัวข้อของอาเซียนในปีนี้

ดังนั้น เพื่อสร้างอนาคตที่ครอบคลุมสำหรับภูมิภาคอาเซียน ประชาคมอาเซียนจะต้องเน้นที่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนอาเซียนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และต้องเพิ่มความพยายามเพื่อปกป้องความมั่นคงของมนุษย์ในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพและความมั่นคงทางอาหาร การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะยาเสพติด การหลอกลวงทางออนไลน์ หมอกควันข้ามพรมแดน และภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่า การคุ้มครองประชาชน ไม่อาจล้าช้าได้

ขณะเดียวกัน อาเซียนควรริเริ่มส่งเสริมเครื่องยนต์ตัวสำคัญที่จะ สนับสนุนการเติบโตของอาเซียนร่วมกัน เช่น ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาคส่วนต่างๆ ของสังคมอาเซียน และความร่วมมือที่ใกล้ชิดมากขึ้นในการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้ามพรมแดน ปรับปรุงแนวทางปฎิบัติในการเดินทางระหว่างกัน และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายร่วมกัน ตามข้อริเริ่มของไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในอาเซียน

นอกจากนี้ อาเซียนควรมุ่งเน้นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนในทุกภาคส่วน และในชีวิตประจำวัน เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืน พร้อมกันสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมความยั่งยืนสำหรับอนาคต และในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานของอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อผลักดันอาเซียนสีเขียว ให้มีความยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต ประเทศไทยจะแสดงบทบาทนำขับเคลื่อนอาเซียนสู่เป้าหมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในความปรารถนาอาเซียน ที่ระบุไว้ใน “วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ปี ค.ศ. 2045” (ASEAN Community Vision 2045) โดยเน้นเรื่องการเงินสีเขียว การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานสะอาด และการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมนำ “วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ปี ค.ศ. 2045” มาขับเคลื่อนอาเซียนไปสู่อนาคตร่วมกัน และเชื่อว่า วิสัยทัศน์ใหม่นี้ จะทำให้อาเซียนเติบโต ที่นำไปสู่สันติสุข ความเป็นหุ้นส่วน และก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ภายหลังการประชุมผู้นำอาเซียน ยังได้ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์ 9 ฉบับ ได้แก่

1. ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการครบรอบ 10 ปี ของการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (KL Declaration on the 10th Anniversary of the Establishment of the ASEAN Community)

2. ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน 2045: อนาคตร่วมกันของเรา (KL Declaration on ASEAN 2045: Our Shared Future)

3. วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 “อาเซียนที่เข้มแข็ง มีนวัตกรรม มีพลวัติและมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (ASEAN Community Vision 2045: “Resilient, Innovative, Dynamic and People-Centred ASEAN”)

4. แผนยุทธศาสตร์ประชาคม การเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Strategic Plan)

5. แผนยุทธศาสตร์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Strategic Plan)

6. แผนยุทธศาสตร์ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Strategic Plan)

7. แผนยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงอาเซียน (ASEAN Connectivity Strategic Plan)

8. กรอบความยั่งยืนสำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์อาเซียน (ASEAN Creative Economy Sustainability Framework)

9. ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยความมุ่งมั่นเพื่อความมั่นคงและการพึ่งพาตนเองด้านยา (ASEAN Declaration of Commitment on ASEAN Drug Security and Self-Reliance: ADSSR)

นายกฯ เน้นความสำคัญของความเป็นเอกภาพของอาเซียน

เวลา 10.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 อย่างไม่เป็นทางการ ณ ห้อง Conference Hall 2 ชั้น 3 ศูนย์การประชุม Kuala Lumpur Convention Center (KLCC) กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 แบบไม่เป็นทางการ ผู้นำอาเซียนได้หารือสถานการณ์ในภูมิภาคและระดับโลกที่อยู่ในความสนใจของประเทศสมาชิก สำหรับไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่โลกกำลังเผชิญความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจที่ทวีความรุนแรง ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเผชิญความเสี่ยง และความเชื่อมั่นในระบบพหุภาคีกำลังลดลง 

นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ท่ามกลางภาวะไม่แน่นอนและการแบ่งแยกที่เพิ่มขึ้น การส่งเสริมระบอบพหุภาคี เพื่อรักษาบทบาทเชิงยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ของอาเซียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยอาเซียนต้องหลีกเลี่ยงการถูกดึงเข้าไปในการแข่งขันในพื้นที่ขัดแย้ง แต่อาเซียนจะต้องขยายความร่วมมือ และทำหน้าที่เป็นสะพานที่สร้างความไว้วางใจ เพื่อให้แน่ใจว่าการเจรจาร่วมกันเหนือกว่าการแบ่งแยก และความร่วมมือระหว่างกันเหนือกว่าการเผชิญหน้า

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ต้องเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางและเอกภาพของอาเซียนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรักษาความสำคัญของกลไกที่นำโดยอาเซียน ในการส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมกับเสริมสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในเชิงยุทธศาสตร์ ผ่านการหารือกับทุกฝ่ายอย่างทั่วถึงและสร้างสรรค์ โดยไทยจะทำงานร่วมกับสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอาเซียนยังคงเป็นผู้เล่นระดับโลกที่มีความรับผิดชอบ และเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือสำหรับทุกฝ่าย

สำหรับประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาค นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อาเซียนต้องยืนหยัดเป็นเสียงเดียวกันในประเด็นสำคัญ และต้องยึดมั่นในค่านิยมหลักที่ปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะ แนวทางร่วมกันของอาเซียนต่อนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่สร้างสรรค์และมีเอกภาพ

ประเด็นทะเลจีนใต้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทะเลจีนใต้ยังคงเป็นจุดตึงเครียดที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุ และหาทางแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี โดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

สำหรับสถานการณ์ในตะวันออกกลางและยูเครน นายกรัฐมนตรีได้เรียกร้องให้มีการยุติการสู้รบทันที มีการคุ้มครองพลเรือนอย่างเต็มที่ รวมถึงการให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างไม่เลือกปฏิบัติ

สถานการณ์ในเมียนมา นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูสถานการณ์ในเมียนมา โดยเน้นว่าความร่วมมือจากอาเซียนยังคงมีความสำคัญในการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสันติ ซึ่งไทยสนับสนุนการมีส่วนร่วมของมาเลเซียในการหาทางออกที่สร้างสรรค์ในเมียนมา และการส่งเสริมความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหว โดยประเทศไทยจะยังคงทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาและประธานอาเซียน เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงชายแดน และต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามพรมแดน เพื่อเสริมสร้างความพยายามของอาเซียนในการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus)  พร้อมย้ำว่า การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นในด้านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมาเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

“ประเทศไทยเชื่อว่าอาเซียนมีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิภาคที่สงบสุข มั่นคง และยั่งยืน โดยให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ใช้ช่วงเวลาของความไม่แน่นอนนี้เป็นโอกาสในการนำพาอาเซียนไปข้างหน้า ด้วยความเอกภาพ ความชัดเจนในเป้าหมาย และความมุ่งมั่นในการรักษาบทบาทของอาเซียนในเวทีโลก" นายกรัฐมนตรีกล่าวปิดท้าย

นายกฯและคณะเดินทางถึงมาเลเซียร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46

เมื่อวันอาทิตย์ 25 พฤษภาคม 2568 เวลา 21.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ ประกอบด้วย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายอุเมสนัส ปานเดย์ ผู้แทนการค้าไทย  นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดย ดร. ซาลีฮา มุสตาฟา (H.E. Dr. Zaliha Mustafa) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พร้อมด้วย ดาโต๊ะ โรไซโน บิน รัมลี (Dato’ Rozainor bin Ramli) อธิบดีฝ่ายพิธีการ สำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซียให้การต้อนรับ

สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งวันแรกจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ (จันทร์ที่26 พฤษภาคม 2568)  ช่วงเช้า โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 (Plenary) และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 อย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) จากนั้นจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันผู้นำอาเซียน 10 ประเทศ

สำหรับช่วยบ่าย จะเป็นการพบหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับคณะผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) ผู้แทนเยาวชนอาเซียน (ASEAN Youth) และผู้แทนสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีลงนามปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน 2045: อนาคตร่วมกันของเรา (Kuala Lumpur Declaration on ASEAN 2045: Our Shared Future) และร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และภริยา เป็นเจ้าภาพ นายจิรายุ กล่าว 

การประชุมอาเซียนครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และความยั่งยืน” (Inclusivity and Sustainability) โดยนายกรัฐมนตรีและผู้นำอาเซียน จะร่วมกันรับรองวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ปี ค.ศ. 2045 ซึ่งจะใช้ขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนในอีก 20 ปีข้างหน้า รวมถึงหาแนวทางร่วมกันของอาเซียนต่อความท้าทายทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค อาทิ สถานการณ์ในเมียนมา ทะเลจีนใต้ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการรับมือกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อย่างสร้างสรรค์ โดยประเด็นที่ไทยจะผลักดัน คือ การรวมตัวในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นมากขึ้น เพื่อรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และการส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การริเริ่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน และแนวคิดความร่วมมือด้าน Digital Trade Logistics เพื่อเชื่อมโยงระบบขนส่งอัจฉริยะระดับภูมิภาค นายกรัฐมนตรีจะใช้โอกาสนี้ เสริมสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะยาเสพติด และ online scams เพื่อแก้ปัญหาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยและอาเซียน  ซึ่งสมาชิกอาเซียนประกอบไปด้วยประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย สิงคโปร์อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน“ นาย จิรายุ กล่าว