Think In Truth
บุญซำฮะ:รากฐานแห่งชีวิตความศรัทธา และภูมิปัญญาอีสาน โดย : ฟอนต์ สีดำ

วิถีชีวิตของชาวอีสานถักทอเข้ากับวงจรธรรมชาติและความเชื่อที่หล่อหลอมเป็น "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่" ปฏิทินวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงพุทธศาสนากับเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าวซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงชีพ ยามเมื่อฤดูแล้งผันผ่านสู่ฤดูฝน สัญญาณแห่งการเริ่มต้นเพาะปลูก ชาวอีสานได้สืบทอดประเพณีสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การผลิตและการดำรงชีวิตอันเป็นสิริมงคล
ประเพณีสงกรานต์ในเดือนห้า ถือเป็นการเบิกโรงแห่งการเปลี่ยนแปลง มิใช่เพียงวันขึ้นปีใหม่ไทย แต่ยังเป็นห้วงเวลาแห่งการปลุกธรรมชาติให้ตื่นจากนิทราด้วยสายน้ำที่สาดรด เปรียบประดุจการชำระล้างสิ่งเก่าเพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ ความชุ่มฉ่ำนี้เป็นนิมิตหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธัญญาหารในอนาคต
ถัดมาคือบุญบั้งไฟในเดือนหก พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เพื่ออัญเชิญฝนจากพญาแถน เทพเจ้าแห่งฝนตามความเชื่อ การจุดบั้งไฟมิเพียงแสดงความเคารพและขอพร แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงธรรมชาติว่ามนุษย์พร้อมแล้วสำหรับการเพาะปลูก ด้วยตระหนักว่าสายฝนตามฤดูกาลคือปัจจัยสำคัญสูงสุดในการทำนา บุญบั้งไฟจึงเป็นการลงทุนทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของชาวนาอีสานเพื่อความหวังในผลผลิตที่งอกงาม
ครั้นเมื่อธรรมชาติเริ่มตอบรับด้วยสายฝนที่โปรยปราย ถึงคราแห่งการเตรียมความพร้อมสำหรับการลงนาอย่างแท้จริง ซึ่งนำมาสู่ "ประเพณีบุญซำฮะ" อันเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่งในการเริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูก เป็นการ "ชำระ" หรือ "ปรับปรุง" ทั้งผืนดิน อุปกรณ์ และจิตใจ เพื่อสรรพสิ่งพร้อมสำหรับการเพาะปลูกที่กำลังจะมาถึง การเตรียมความพร้อมนี้สะท้อนความเข้าใจอันลึกซึ้งในวงจรชีวิตธรรมชาติ และความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม อันเป็นรากฐานแห่งวัฒนธรรมอีสานที่งดงาม
ประเพณีบุญซำฮะ หรือบุญเดือนเจ็ดตามฮีตสิบสอง แสดงถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างวิถีเกษตรกรรมกับความเชื่อทางพุทธศาสนาและวิถีแห่งธรรมชาติของชาวอีสาน คำว่า "ซำฮะ" มาจาก "ชำระ" หรือ "สะสาง" สื่อถึงการเตรียมความพร้อมและทำความสะอาดสรรพสิ่งก่อนฤดูเพาะปลูก
ในช่วงเวลานี้ หลังฝนเริ่มตกปรอยๆ และน้ำขังตามท้องทุ่งนา ชาวนาจะเตรียมอุปกรณ์เกษตรกรรมที่จำเป็นสำหรับการทำนา อาทิ ไถ คราด และเครื่องมืออื่นๆ ที่เก็บรักษาไว้ตลอดฤดูแล้ง อุปกรณ์เหล่านี้จะถูกนำมาทำความสะอาด ตรวจสอบสภาพ และซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการลับคมผาลไถ การซ่อมแซมไม้เทียมไถ หรือการดูแลเชือกสำหรับคราด การเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ให้พร้อมใช้งานอย่างสมบูรณ์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะคือเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่การผลิตที่ได้ผลดี
นอกเหนือจากอุปกรณ์ การเตรียมความพร้อมของที่นา รวมถึงควายซึ่งเป็นแรงงานหลักในการเกษตรก็มีความสำคัญยิ่ง สัตว์เหล่านี้จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ อาจได้รับอาหารเสริม หรือพักผ่อนเพื่อสะสมกำลังก่อนออกแรงไถนาอย่างหนักในฤดูเพาะปลูก
หัวใจสำคัญของบุญซำฮะคือ "การไถแรกนา" หรือ "การไถฮุด" ซึ่งเป็นการไถนาครั้งแรกของฤดูกาล เป็นการเปิดหน้าดินเพื่อรับน้ำฝนและเตรียมพร้อมสำหรับการหว่านกล้า การไถฮุดมีความหมายลึกซึ้งกว่าเพียงแค่การพลิกดินทางกายภาพ หากเป็นการประกาศการเริ่มต้นฤดูเพาะปลูกอย่างเป็นทางการ และเป็นการขอขมาต่อพระแม่ธรณีที่กำลังจะถูกรบกวนจากการไถพรวน การไถฮุดมักกระทำในวันธงชัยหรือวันดีที่กำหนดไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ชาวนาจะอธิษฐานขอให้การเพาะปลูกสำเร็จ ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ และปราศจากศัตรูพืช ในบางพื้นที่ อาจมีการนำข้าวปลาอาหารไปบูชาผีไร่ ผีนา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่น เพื่อขอความคุ้มครองและขอพรให้พืชผลเจริญงอกงาม พิธีกรรมเหล่านี้สะท้อนความเชื่อว่าการเกษตรมิใช่เพียงการกระทำทางกายภาพ แต่ยังเป็นการปฏิสัมพันธ์กับพลังเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็น
แม้ประเพณีบุญซำฮะจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเกษตรกรรม แต่ก็มิได้แยกขาดจากหลักคำสอนทางพุทธศาสนาที่ชาวอีสานยึดถือปฏิบัติมาอย่างยาวนาน พุทธศาสนาได้ถูกผนวกรวมเข้ากับวิถีชีวิตเกษตรกรอย่างกลมกลืน และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเติมเต็มความหมายและคุณค่าให้กับประเพณีนี้ โดยทั่วไป การทำบุญในวัดเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีบุญซำฮะ ชาวบ้านจะนำข้าวปลาอาหารไปถวายพระภิกษุสงฆ์ ฟังธรรม และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องคุ้มครองผืนนา การทำบุญนี้มิเพียงสร้างบุญกุศลส่วนตน หากยังสร้างขวัญกำลังใจและเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชุมชนโดยรวม การรวมตัวกันที่วัดยังสร้างความสมัครสมานสามัคคี และแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับการทำนาและการเตรียมตัวสำหรับฤดูเพาะปลูก
แนวคิดสำคัญทางพุทธศาสนาที่สอดคล้องกับบุญซำฮะคือ ความกตัญญูและการเคารพต่อสรรพสิ่ง การทำบุญขอขมาพระแม่ธรณีก่อนไถนา คือการแสดงออกถึงความสำนึกในพระคุณของแผ่นดินที่หล่อเลี้ยงชีวิต และเป็นการขออนุญาตก่อนเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นดิน ซึ่งสอดคล้องกับหลักเมตตาธรรมในพุทธศาสนา นอกจากนี้ การระมัดระวังในการไถนาเพื่อไม่ทำร้ายสัตว์เล็กสัตว์น้อยในดิน หรือการดูแลรักษาวัวควายที่เป็นแรงงานสำคัญ ก็สะท้อนหลักปาณาติปาตา เวรมณี (งดเว้นจากการฆ่าสัตว์) และเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก
ยิ่งไปกว่านั้น การทำนาในบริบทพุทธศาสนามิได้เป็นเพียงการแสวงหาปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพ หากยังเป็นหนทางแห่งการฝึกฝนจิตใจ ความเพียรพยายาม ความอดทนในการทำงานหนักท่ามกลางสภาพอากาศร้อนชื้น การรู้จักพอประมาณ และการแบ่งปันผลผลิต ล้วนเป็นคุณธรรมที่ถูกปลูกฝังผ่านวิถีชีวิตเกษตรกรรมที่ยึดโยงกับพุทธศาสนา การที่ชาวนาทำบุญเพื่อความอุดมสมบูรณ์ มิได้หมายถึงการหวังผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความรู้สึกขอบคุณต่อธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเกื้อหนุนชีวิต
วิถีชีวิตของเกษตรกรไทย โดยเฉพาะชาวนาในภาคอีสาน เป็นบทพิสูจน์ถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับธรรมชาติ และความเข้าใจในวงจรชีวิตที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน พวกเขาไม่ได้มองการทำนาเป็นเพียงอาชีพ แต่เป็นวิถีชีวิตที่ต้องเตรียมพร้อมในทุกมิติเพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์บนผืนแผ่นดินที่อาศัยอยู่
การเตรียมความพร้อมของเกษตรกรไทยเริ่มต้นจากการสังเกตธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พวกเขาเรียนรู้ที่จะอ่านสัญญาณของฝนฟ้าอากาศจากเมฆ ลม และการเปลี่ยนแปลงของพืชพรรณและสัตว์ต่างๆ ความรู้เหล่านี้ถูกสั่งสมและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นภูมิปัญญาที่ทำให้สามารถคาดการณ์และวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสม แม้ไม่มีเทคโนโลยีซับซ้อน แต่การสังเกตเหล่านี้ก็มีความแม่นยำและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
การเตรียมดินเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรย่อมรู้ว่าดินแบบไหนเหมาะสมกับการปลูกข้าว ควรมีการเตรียมดินอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการไถพรวน การปรับหน้าดิน หรือการใส่ปุ๋ยคอกเพื่อเพิ่มธาตุอาหารตามธรรมชาติ การกระทำเช่นนี้เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดให้แก่ต้นกล้าที่จะเจริญเติบโต นอกจากนี้ การเลือกพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศและภูมิประเทศก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เกษตรกรไทยมีพันธุ์ข้าวพื้นเมืองหลากหลาย ซึ่งปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเฉพาะถิ่นได้ดี พวกเขารู้จักเลือกใช้พันธุ์ที่ทนทานต่อโรค ทนแล้ง หรือทนน้ำท่วม และให้ผลผลิตที่ดี การเลือกพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมเป็นการวางรากฐานสำหรับความอุดมสมบูรณ์ในอนาคต
การเตรียมความพร้อมมิได้จำกัดเพียงเรื่องของดินและพันธุ์พืช หากยังรวมถึง "การเตรียมคน" ด้วย ความพร้อมทางกายภาพและความพร้อมทางใจของชาวนาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง พวกเขาต้องมีร่างกายที่แข็งแรงอดทนเพื่อรับมือกับงานหนักในไร่นา และต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ความหวัง และศรัทธาในสิ่งที่ทำ เพราะการทำนามีความเสี่ยงสูงจากภัยธรรมชาติ ดังนั้น ความหวังและการมีกำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้พวกเขาสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้
ท้ายที่สุด การสร้างความอุดมสมบูรณ์สำหรับเกษตรกรไทยมิได้หมายถึงแค่ผลผลิตข้าวปริมาณมากเท่านั้น แต่ยังรวมถึง "ความสมบูรณ์ของชีวิตโดยรวม" นั่นคือความมั่นคงทางอาหาร ความอยู่ดีกินดีของครอบครัว และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ การปฏิบัติตามประเพณีต่างๆ เช่น บุญซำฮะ จึงเป็นการแสดงออกถึงความเข้าใจในหลักการเหล่านี้ และเป็นการลงทุนทั้งแรงกาย แรงใจ และศรัทธา เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปอย่างผาสุกและอุดมสมบูรณ์ตามวิถีแห่งธรรมชาติ
การดำรงอยู่ของชาวอีสาน โดยเฉพาะในบริบทของการเกษตรกรรม แสดงให้เห็นถึงปรัชญาอันลึกซึ้งของการ "เคารพและปรับตัวเข้าหากฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ" มากกว่าที่จะพยายามเอาชนะธรรมชาติ ความคิดนี้ฝังรากลึกในทุกแง่มุมของวิถีชีวิตและประเพณีต่างๆ ซึ่งบุญซำฮะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
ชาวอีสานเข้าใจดีว่าชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของธรรมชาติ หากธรรมชาติไม่อำนวย ชีวิตก็ยากที่จะดำรงอยู่ได้ ดังนั้น แทนที่จะมองธรรมชาติเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม พวกเขามองธรรมชาติเป็นครูและเป็นผู้ให้ การปฏิบัติตามฮีตสิบสองเป็นเสมือนการเดินตามจังหวะของธรรมชาติ การทำบุญบั้งไฟเป็นการร้องขอฝนเมื่อถึงเวลาอันควร การทำบุญซำฮะเป็นการเตรียมพร้อมและขอขมาต่อดินเมื่อถึงเวลาที่ต้องไถพรวนเพื่อเพาะปลูก
การเคารพกฎเกณฑ์ทางธรรมชาตินี้สะท้อนผ่านแนวคิดและปฏิบัติหลายประการ:
- ความเข้าใจในวัฏจักร: ชาวนาเข้าใจวัฏจักรของฤดูกาล ฝนแล้ง น้ำท่วม การเจริญเติบโตและการพักตัวของพืช พวกเขาไม่เร่งรีบในการเพาะปลูกก่อนเวลาอันควร แต่จะรอคอยสัญญาณจากธรรมชาติและลงมือทำเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
- การประหยัดและไม่ฟุ่มเฟือย: การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ดิน หรือแม้แต่แรงงานสัตว์ เป็นการสะท้อนถึงความตระหนักในการรักษาสมดุลของธรรมชาติ การทำนาแบบพอเพียง การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และการไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ
- การขอขมาและบูชา: การทำพิธีขอขมาพระแม่ธรณี เจ้าที่เจ้าทาง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลผืนดิน ก่อนการไถนา หรือก่อนการเก็บเกี่ยว เป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตที่ร่วมแบ่งปันพื้นที่ การกระทำเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความถ่อมตนและความสำนึกในบุญคุณ
- การปรับตัว (Adaptation): เมื่อเกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม หรือฝนแล้ง เกษตรกรจะไม่สิ้นหวัง แต่จะหาทางปรับตัว เช่น การปลูกพืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง การเปลี่ยนวิธีการทำนา หรือการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในชุมชน เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ นี่คือการยอมรับความจริงที่ว่าธรรมชาติมีพลังเหนือกว่ามนุษย์ และมนุษย์ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับมัน
การเคารพต่อกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติในวิถีชีวิตของชาวอีสาน มิได้เป็นเพียงความเชื่อที่งมงาย หากเป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกจากประสบการณ์จริง เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสันติและยั่งยืน และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พวกเขายังคงดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
ประเพณีบุญซำฮะ มิได้เป็นเพียงพิธีกรรมที่แสดงออกถึงความพร้อมทางกายภาพเพื่อการเพาะปลูกเท่านั้น หากยังอุดมไปด้วย "คุณค่าทางวัฒนธรรม" อันลึกซึ้งที่หล่อหลอมวิถีชีวิต ความเชื่อ และความสัมพันธ์ในสังคมอีสานมายาวนาน คุณค่าเหล่านี้เป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่ควรค่าแก่การสืบทอดและรักษาไว้
- คุณค่าทางจิตวิญญาณและศรัทธา: บุญซำฮะสะท้อนถึงความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพลังเหนือธรรมชาติที่เชื่อว่าคอยปกปักรักษาและบันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้กับพืชผล การขอขมาพระแม่ธรณี การบูชาผีไร่ผีนา และการทำบุญอุทิศส่วนกุศล ล้วนเป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ให้มีความหวังและพลังในการฟันฝ่าอุปสรรค
- คุณค่าทางสังคมและความสามัคคี: ประเพณีนี้เป็นโอกาสที่คนในชุมชนจะได้รวมตัวกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอุปกรณ์ การช่วยกันไถนาในบางครัวเรือน หรือการไปทำบุญที่วัด การรวมตัวกันนี้เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ สร้างความสนิทสนม และเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมเกษตรกรรม
- คุณค่าในการถ่ายทอดภูมิปัญญา: บุญซำฮะเป็นเวทีสำคัญในการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการทำนา การเตรียมอุปกรณ์ การดูแลสัตว์ และความสำคัญของการสังเกตธรรมชาติจากผู้ใหญ่ในชุมชน พวกเขาจะได้เห็น ได้สัมผัส และได้ซึมซับวิถีการเกษตรที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาองค์ความรู้พื้นบ้านเกี่ยวกับการเกษตรให้คงอยู่
- คุณค่าในการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ: แม้จะไม่มีคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่การปฏิบัติตามประเพณีที่เน้นการเคารพธรรมชาติ เช่น การไม่หักล้างถางพงจนเกินไป การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า หรือการดูแลดินให้มีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน ล้วนเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสมดุลทางระบบนิเวศอย่างยั่งยืน เป็นการใช้ชีวิตที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
- คุณค่าทางสุนทรียะและเอกลักษณ์: ประเพณีบุญซำฮะและประเพณีอื่นๆ ในฮีตสิบสอง เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของชาวอีสาน ความงดงามของพิธีกรรม เครื่องแต่งกาย อาหาร และการแสดงออกทางศิลปะพื้นบ้านที่อาจเกิดขึ้นควบคู่ไปกับพิธี เป็นคุณค่าทางสุนทรียะที่สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นอีสาน
ดังนั้น บุญซำฮะจึงไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมที่จบไปตามวาระ หากเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงปัญญา วิถีชีวิต และจิตวิญญาณของชาวอีสานที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และส่งเสริม เพื่อให้คุณค่าเหล่านี้ยังคงอยู่คู่สังคมต่อไป
ประเพณีบุญซำฮะและประเพณีอื่นๆ ในฮีตสิบสองของภาคอีสาน เป็นตัวอย่างอันงดงามของมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิต และจิตวิญญาณของชุมชน การส่งเสริมและสร้างคุณค่าทางวัฒนธรรมเหล่านี้ให้ฝังลึกในสังคมจึงเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ เพื่อให้สิ่งดีงามเหล่านี้ไม่เพียงแต่คงอยู่ แต่ยังสามารถปรับตัวและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมในปัจจุบันและอนาคต
แนวทางที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้มีดังนี้:
- การส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างความตระหนัก: ควรพิจารณาบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่น ฮีตสิบสอง และภูมิปัญญาการเกษตรของอีสานในหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษา เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตนเอง สนับสนุนการจัดงานประเพณีต่างๆ ในชุมชน และส่งเสริมการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น สื่อออนไลน์ สารคดี รายการโทรทัศน์ หรือจัดนิทรรศการ เพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจในวงกว้าง สนับสนุนการจัดตั้งและพัฒนาศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในระดับชุมชน โดยมีปราชญ์ชาวบ้านเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์โดยตรง
- การสนับสนุนและส่งเสริมการปฏิบัติจริง: จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อสนับสนุนชุมชนในการจัดงานประเพณีต่างๆ ให้คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ดั้งเดิม แต่เปิดโอกาสให้มีการปรับประยุกต์เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยโดยไม่บิดเบือนแก่นแท้ สนับสนุนเกษตรกรที่ยังคงยึดมั่นในวิถีการเกษตรแบบดั้งเดิมที่เชื่อมโยงกับประเพณี โดยอาจให้การสนับสนุนด้านเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยอินทรีย์ หรือส่งเสริมช่องทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ที่มาจากการทำนาตามวิถีดั้งเดิม ส่งเสริมบทบาทของปราชญ์ชาวบ้านผู้ทรงภูมิปัญญาในฐานะผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้และผู้ขับเคลื่อนการอนุรักษ์วัฒนธรรม และสนับสนุนให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างปราชญ์ชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น
- การเชื่อมโยงวัฒนธรรมกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน: พัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับประเพณี วิถีชีวิต และภูมิปัญญาของชาวอีสาน โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ที่แท้จริงและก่อให้เกิดรายได้สู่ชุมชนโดยตรง สนับสนุนการวิจัยทางวิชาการเพื่อศึกษาคุณค่าของประเพณีในมิติทางวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ เพื่อนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น การศึกษาการจัดการน้ำตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน หรือการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวพื้นเมือง สนับสนุนการสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเพณีและภูมิปัญญาพื้นบ้าน (Creative Economy) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับชุมชน
การที่รัฐบาลจะสร้างคุณค่าทางวัฒนธรรมให้ฝังลึกในสังคมได้นั้น ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแก่นแท้ของวัฒนธรรม ความจริงใจในการสนับสนุน และการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนา ซึ่งจะนำไปสู่การอนุรักษ์และสืบทอดมรดกอันล้ำค่าเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืน และเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและมีเอกลักษณ์