Authority & Harm

สภ.เมืองนครปฐมแจงผู้บังคับบัญชาแล้ว ย้ำคนไข้ไม่แจ้งกลืนยาเกินขนาดดับ



นครปฐม-ตำรวจเมืองนครปฐม ทำรายงานแจงผู้บังคับบัญชากรณีหนุ่ม 25 ปีแอบกลืนยาบ้า 49 เม็ด นอนช๊อคคาห้องขัง แจงผู้ต้องหาปกปิดว่าบอกกับเจ้าหน้าที่ว่ากลืนยาบ้าจำนวนมากแต่บอกเพื่อนผู้ต้องขังเท่านั้น ย้ำหากบอกจะส่งล้างท้องแน่นอน ส่วนโรงพยาบาลนครปฐม แจงผู้ต้องหาไม่บอกความจริงบอกแค่เสพมา 2 เม็ด จึงตรวจสารเสพติดและส่งกลับไปตามกระบวนการควบคุมตัว หากทราบข้อมูลต้องดำเนินการรักษาทันที ไม่มีการปกปิดข้อมูลการรักษาตามที่สื่อบางแห่งนำเสนอข่าวแต่อย่างใด ตรวจประวัติยังพบผู้ตายเคยพัวพันยาเสพติด ถูกจับมาแล้ว 2 ครั้ง คาดกลัวถูกซ้ำคดีเก่ารีบกลืนกลบความผิด

วันที่ 4 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีนายธีรนัย  ชุมปาน อายุ 25 ปี ที่อยู่ 209/35 ม.1 ต.โพรงมะเดื่อ อ.เมือง จ.นครปฐม  ซึ่งได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม จับกุมในข้อหายาเสพติดและถูกควบคุมตัวมาทำการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหา เมื่อกลางดึกของวันที่ 2 มิถุยายน 68 และได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและแพทย์ รพ.นครปฐม ในการควบคุมตัวไปทำการตรวจสารเสพติดว่าได้เสพยาบ้ามาจำนวน 2เม็ด ก่อนถูกควบคุมตัวที่ห้องขัง สภ.เมืองนครปฐม ก่อนจะมีอาการปวดท้องรุนแรงและช๊อคซึ่งถูกเร่งนำส่ง รพ.นครปฐม และเสียชีวิตในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน โดยมีข้อมูลว่าผู้ตายได้บอกกับเพื่อนที่ถูกควบคุมตัวว่ากลืนยาบ้าเพื่อหลบหนีการจับกุมมา 49 เม็ด 

ล่าสุดวันนี้ ความคืบหน้าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.อ.อชิรวัตติ์  ถาวรเจริญวัฒน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม ได้มีการประชุมคอนเฟอร์เร้นท์ ประจำสัปดาห์และได้แจ้งสรุปการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชา โดยแจ้งว่า การจับกุมดังกล่าว มีการจับกุมเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 เวลาประมาณ 03.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นายธีรนัย  ชุมปาน อายุ 25 ปี (ผู้ตาย) โดยได้ควบคุมตัวมาส่งมอบให้พนักงานสอบสวน เวลาประมาณ 06.35 น. โดยกล่าวหาว่า “เสพ(ยาบ้า)และเสพขับ” โดย ร.ต.อ.สถาพร  ดวงสี ร้อยเวรสอบสวนปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้รับมอบตัวไว้ ได้ทำการสอบสวนปากคำเรียบร้อยแล้ว จึงนำตัวกลับห้องควบคุม กระทั่งเวลาประมาณ 09.15 น. ขณะกำลังจะนำตัวนายธีรนัยฯ ไปส่งอัยการเพื่อฟ้องศาล ปรากฏว่านายธีรนัยฯ หมดสติไม่รู้สึกตัว ร.ต.อ.สถาพร  ดวงสี จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ และ รพ.นครปฐม เพื่อมาปฐมพยาบาลในเบื้องต้นและรับตัวไปรักษาต่อที่ รพ.นครปฐม ซึ่งต่อมาทราบภายหลังว่าขณะถูกจับกุมตัวนั้น นายธีรนัยฯ ได้แอบกลืนยาบ้าเข้าไปแต่ไม่ทราบว่าจำนวนเท่าใด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวไปที่ รพ.นครปฐม เพื่อตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะและดูอาการ โดยที่ รพ.นครปฐม ทางแพทย์และพยาบาลได้ซักถาม ซึ่งนายธีรนัยฯ แจ้งว่าได้กลืนยาบ้าเข้าไป 2 เม็ด ทาง รพ.นครปฐม จึงให้ให้อยู่ที่ รพ.ประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อสังเกตุอาการ จนไม่มีอาการอะไรแสดงออกมา กระทั่งเวลาประมาณ 05.00 น. จึงให้นำตัวกลับมาควบคุมที่ สภ.เมืองนครปฐม เพื่อส่งมอบพนักงานสอบสวนดำเนินคดี และภายหลังได้ทราบจากผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมด้วยกันว่า นายธีรนัยฯ กินยาบ้าเข้าไป จำนวน 49 เม็ด และขณะจะนำตัวส่งศาลแขวงนครปฐมเพื่อฟ้อง นายธีรนัยฯ ได้มีอาการผิดปกติ จึงได้แจ้งมูลนิธิฯและ รพ.นครปฐม ดังกล่าวข้างต้น นำรถกู้ชีพมารับตัวไปรักษาพยาบาล ต่อมาเวลาประมาณ 15.44 น. ได้รับแจ้งจากทาง รพ.นครปฐม ว่า นายธีรนัยฯ ได้เสียชีวิตลงแล้ว จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วร่วมกับ น.ส.ณิชาภัทร  อนุรักษ์โอฬาร พนักงานอัยการ, นายธัชกร  เกษมโสตร์ ปลัดอำเภอ, น.ส.ณัฐวดี  แสงงาม ภรรยา และ นพ.นิติ  แตงตาด แพทย์ประจำ รพ.นครปฐม  ร่วมชันสูตรพลิกศพนายธีรนัยฯ โดยรับเป็นเลขชันสูตรเพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป และเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมด แต่ติดประเด็นว่าผู้ตายไม่ได้มีการแจ้งข้อเม็จจริงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อหวังหลบหนีความผิด จึงทำให้ไม่มีข้อเท็จจริงหากมีการแจ้งจะมีการดำเนินการกระบวนการส่งแพทย์เพื่อล้างท้องต่อไป

ทั้งนี้จากการตรวจสอบประวัติ พบว่าผู้ตายได้เคยมีประวัติพัวพันกับยาเสพติดมาก่อนและเคยถูกจับกุมในคดียาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้งโดยคาดว่าเจ้าตัวจะรู้ว่าหากถูกจับกุมอีกจะมีคดีที่มีประวัติ ติดตัวเพิ่ม ซึ่งยังไม่ทราบว่าภรรยาผู้ตายได้ทราบมาก่อนหรือไม่ 

ขณะที่โรงพยาบาลนครปฐม โดย นายแพทย์สุรชัย โชคคครชิตชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าว หลังจากมีสื่อบางแขนงได้มี นำเสนอข่าวว่าทางทีมแพทย์พยาบาลผู้ทำการรักษาได้มีการปิดบังข้อมูลในการรักษา ซึ่งโดยความเป็นจริงในการนำผู้ต้องหามาทำการตรวจสารเสพติด เจ้าตัวได้แจ้งว่าได้มีการเสพยาเสพติดมา 2เม็ดจึงได้ทำการตรวจสอบหาสารเสพติดตามหลักการ โดยผู้ต้องหาเป็นผู้ปกปิดและไม่ได้แจ้งกับทีมแพทย์พยาบาลว่ามีการแอบกลืนยาเสพติดเข้าไปมากถึง 49 เม็ด หากทราบก่อนจะมีกระบวนการในการรักษาเช่นการล้างท้องเพื่อให้ขับยาเสพติดออกมาจากร่างกายและให้นอนรอดูอาการอย่างใกล้ชิดตามหลักการ ไม่ได้มีการปกปิดข้อมูลในการรักษาตามข่าวที่ออกไปแต่อย่างใด