Think In Truth

ผ่าปมพิพาท(พิฆาต) 'ไทย-เขมร'จากอดีต สู่ปัจจุบัน โดย : ฅนข่าว 2499



จากสถานการณ์บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี หลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา นำมาสู่การปลุกกระแสในโซเชียลมีเดียระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเสนอแนวทางออกที่ควรดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะ หรือป้องกันการสู้รบระหว่างไทยและกัมพูชานั้นโดยขอให้ใช้กลไกความร่วมมือต่าง JBC GBC และหรือRBCในการเจรจา

ย้อนไปเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 กองทัพบกได้รายงานเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เนื่องจากพบเห็นทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในเวลาถัดมาว่า การปะทะที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องบังเอิญโดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะสู้รบกัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวันเดียวกัน สำนักงานข่าว Khmer Times ของกัมพูชา เปิดเผยว่ากระทรวงกลาโหมกัมพูชายืนยันทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย จากเหตุปะทะข้างต้น โดยระบุว่าทหารไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน(ในโลกโซเซียลระบุตาย 2 บาดเจ็บนับ 10 ราย)

ทางด้าน“สมเด็จฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้โพสต์เฟซบุ๊กประณาม “บุคคล องค์กร หรือกลุ่มใด ๆ ที่ตัดสินใจก่อเหตุรุกรานเช่นนี้ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์รุกรานปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2008 ถึง 2011”ก่อนที่เช้าวันที่ 29 พฤษภาคม 2568ได้เปิดเผยในการแถลงข่าวว่า มีการส่งกองกำลังและอาวุธหนักไปที่บริเวณชายแดนกัมพูชาแล้ว เพื่อ “เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น”

ขณะที่“ฮุน มาเนต”นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และบุตรชายของสมเด็จฮุน เซน ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กในทำนองเดียวกันเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า แม้กัมพูชาไม่มีเจตนาที่จะรุกรานประเทศใด ๆ แต่ประเทศก็ “สงวนสิทธิ์ที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอัตลักษณ์ในเชิงพื้นที่ (territorial identity) ของตน รวมถึงการใช้กองกำลังติดอาวุธในกรณีที่มีการพยายามรุกรานอัตลักษณ์ในเชิงพื้นที่ของกัมพูชา”

ตามข้อเท็จจริงประเทศไทยและกัมพูชามีอาณาเขตทาบเกี่ยวกันเป็นพื้นที่ทับซ้อนหลายจุด และแม้จะมีความพยายามเจรจากันระหว่างทั้งสองประเทศมานานกว่า 20 ปี แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญยังคงเป็นชนวนสำคัญที่จะทำให้ฝ่ายความมั่นคงของทั้งสองประเทศต้องเผชิญหน้ากันได้ทุกเมื่อ

สำหรับบริเวณที่เกิดการปะทะล่าสุดระหว่างทหารไทย-กัมพูชา คือบริเวณช่องบกชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานี ซึ่งถูกเรียกว่าสามเหลี่ยมมรกต (Emerald Triangle) โดยบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทย ลาว และกัมพูชา โดยมีขนาดประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวคาบเกี่ยวกับประเทศไทยในสองจังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ ปัจจุบันช่องบกยังคงเป็นพื้นที่พิพาท เนื่องจากยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน และยังมีการเคลื่อนไหวทางทหารของทั้งสองประเทศในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันอธิปไตย

ทั้งนี้ กองทัพบกไทยได้ออกแถลงการณ์ในช่วงเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ระบุว่า ได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานี ในเมื่อเวลา 05.30 น. ของ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 แจงสาเหตุการปะทะระหว่างทหารสองประเทศว่า เกิดจากการได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจา แต่เมื่อถึงบริเวณดังกล่าวทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิดและเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับ เป็นเวลาประมาณ 10 นาที ถัดมา พล.ต.ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พ.อ.บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี จึงได้ตกลงหยุดยิงและต่อมาเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 มีรายงานข่าวว่า ทหารกัมพูชา 1 ราย เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว และทางการกัมพูชายืนยันว่าทางการไทยเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน

ต่อมาในช่วง 15.30 น. (28 พฤษภาคม 2568)พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)ได้พูดคุยกับ พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา โดย พล.อ.พนา ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตย หรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด

ส่วนกรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee - JBC) ในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว และผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายได้ระบุว่า จะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัดโดย พล.อ.เมา โซะพัน ย้ำว่า ในส่วนของกัมพูชา หากมีผู้ใดฝ่าฝืนข้อตกลงที่ได้ร่วมกันวางไว้ในวันนี้ จะดำเนินการย้ายออกจากพื้นที่ทันที และยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาสามารถควบคุมและสั่งการหน่วยงานทุกหน่วยได้อย่างเด็ดขาดและจากการประชุมดังกล่าว ได้ข้อสรุปร่วมกันดังนี้

1.ให้ทั้งสองฝ่ายการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะจัดขึ้นภายใน2-3 สัปดาห์

2.ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสม ลดการเผชิญหน้า

3.ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ให้ใช้ความอดทนอดกลั้น

กรณีการอ้างสิทธิ์พื้นที่ทับซ้อน : ไทยและกัมพูชามีชายแดนติดต่อกันยาวประมาณ 798 กม. ซึ่งมีอาณาบริเวณที่ทาบเกี่ยวกัน แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

1.พื้นที่ทับซ้อนทางบก เช่น พื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ พื้นที่ช่องตาพระยา/บึงตระกวน พื้นที่เขาตาง้อก จ.สระแก้ว และพื้นที่เขาตะบาน จ.จันทบุรี

2.พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เช่น พื้นที่บริเวณเกาะกูดตอนล่าง และพื้นที่บริเวณอ่าวไทยตอนกลางและตอนล่าง

ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชามีความพยายามในการใช้กลไกต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทบริเวณพื้นที่ทับซ้อนมาตั้งแต่ในอดีต เช่น การใช้สนธิสัญญา ฟรังโก-สยาม, การจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC), การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2543 ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชาเคยทำการสำรวจและปักปันเขตแดนร่วมกันครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2452

ในส่วนของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2544 รัฐบาลไทยซึ่งนำโดยนายทักษิณ ชินวัตร และ อดีตนายกฯ ฮุนเซน ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป 2.64 หมื่นตารางกิโลเมตร หรือที่เรียกว่า MOU 44 เพื่อเป็นการกำหนดกรอบเจรจาเรื่องการปักปันดินแดนทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน และเรื่องการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area - JDA) โดยทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันมาต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามจาก เอกสารวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ สถาบันวิจัยยุทธศาสตร์สถาบันป้องกันประเทศ กองทัพไทย โดย พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ และ จ.ส.อ.หญิง ฐิติรัตน์ ศรพรหม ระบุถึงสาเหตสำคัญที่ทำให้เกิดประเด็นโต้แย้งอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของทั้งสองประเทศว่า เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การใช้แผนที่อ้างอิงคนละฉบับ, การปักปันดินแดน (delimitation) คาดเคลื่อนไม่ได้รับการยอมรับ, หลักเขตแดนเดิมชำรุดเสียหาย และสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม

สาเหตุที่ทำให้เกิดข้อพิพาทบริเวณชายแดนของไทยและกัมพูชาเชิงประวัติศาสตร์เนื่องจากแนวเขตแดนของทั้งสองประเทศถูกจัดการตั้งแต่สมัยสยามทำสนธิสัญญากับประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1893 แต่ว่าเขตดินแดนยังไม่ได้รับการปักปันให้ชัดเจน และพื้นที่ที่เคยเชื่อว่าเป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงสภาพไปว่ากันมาตั้งแต่สมัยฝรั่งเศส มีการจัดทำเขตแดนและหลักเขต ระบุพื้นที่เขตแดนเอาไว้ชัดเจนแล้วแต่เมื่อเวลาผ่านไป หลักเขตเหล่านั้นก็หายไปหรือถูกโยกย้าย มันก็เลยทำให้พื้นที่ชายแดนไม่ชัดเจนและทำให้เกิดปัญหามาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่5 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ ยืนยันไม่รับอำนาจศาลโลก ยึดแนวทางสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

แถลงการณ์รัฐบาลกรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือและตกลงกันที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Commission: JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) บนพื้นพื้นฐานของ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย กัมพูชา ซึ่งเป็นผลมาจากการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของทั้ง 2 ฝ่ายเมื่อวันที่ 29 พ.ค.2568

ทั้งนี้ ตามที่ กัมพูชา แสดงความตั้งใจ ที่จะใช้กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) นั้น ประเทศไทย ประกาศไม่ยอมรับในเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 จนถึงปัจจุบัน โดยทั้ง 2 ฝ่ายมีกลไกทวิภาคีในการจัดการประเด็นปัญหาชายแดนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรก

สิ่งที่สำคัญ คือ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาในบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น ไม่ขยายประเด็น ปัญหาออกไป ซึ่งจะสร้างความชับซ้อนของปัญหามากขึ้น ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นฝ่ายใดได้รับความสูญเสีย ซึ่งประเทศไทย กัมพูชา มีกลไกเรื่องเขตแดนอยู่แล้ว ซึ่งกลไกดังกล่าวโดยเฉพาะการทำงานของ JBC ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา ก็มีความคืบหน้าในหลายพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด

ดังเช่นในกรณีของสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว - และบ้าน สตึงบท ต.ปอยเปต อ.โอโอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย) และการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ ไทย - กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จ.จันทบุรี กับบ้านปรม จ.ไพลิน กัมพูชา

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย.2568 นี้ และหวังว่า ฝ่ายกัมพูชาจะแสดงถึงความปรารถนาเช่นเดียวกันในการร่วมมือกับไทยในลักษณะที่สะท้อน เจตนารมณ์ร่วมกันของเราในสันติภาพ เสถียรภาพ และการเคารพซึ่งกันและกัน

คลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยกลุ่มงานพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ สำนักวิชาการ ได้เผยแพร่ข้อมูล อ้างอิงจากข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารและการเจรจาเขตแดนไทย – กัมพูชา เกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือชายแดนไทย – กัมพูชา ไว้ดังนี้ว่า

ประเทศไทยมีนโยบายอย่างชัดเจนและต่อเนื่องที่จะสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนอย่างถาวร อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของประชาชนของทั้งทั้งสองประเทศและเสริมสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน จึงเป็นที่มาของ การจัดตั้ง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission – JBC) เกิดขึ้นในปี 2540 เพื่อเป็นกลไกหลักในการเจรจาและ การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย – กัมพูชา

ไทยและกัมพูชามีความร่วมมือระหว่างกันในการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา โดยในปี 2538 ไทยและกัมพูชาได้ลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วย ความร่วมมือชายแดน ส่งผลให้มีการจัดตั้ง

1. คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย -กัมพูชา (General Border Committee – GBC) เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีกำหนดจัดประชุมทุกปีโดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ

2. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับแม่ทัพภาค แบ่งออกเป็น 3 คณะกรรมการได้แก่

​2.1.ด้านกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์)

​2.2.ด้านกองทัพภาคที่ 1 กับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนบน (สระแก้ว)

2.3. ด้านกองบัญชาการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราด (กปช. จต.) กับภูมิภาคทหารที่ 3 ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนล่าง (จันทบุรีและตราด)

ทั้งหมดนี้ต้องจับตาและติดตามกันต่อไปว่าข้อพิพาท(พิฆาต)ไทย-กัมพูชา จะถึงขั้นทำสงครามหรือขึ้นสู่ศาลโลกหรือต่างฝ่ายต่างถอยเพื่อตั้งหลักรอเชื้อความขัดแย้งปะทุครั้งใหม่กันต่อไปในอนาคต.