Think In Truth

กรรมหมู่ของชาติไทย: พลเมืองต้องเป็น ผู้นำตนเอง   โดย: ฟอนต์ สีดำ



ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญยิ่งของประวัติศาสตร์ชาติ สถานการณ์ที่เลวร้ายซึ่งก่อตัวขึ้นทั้งในมิติเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ การคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการเมืองที่สับสนวุ่นวาย ล้วนแต่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลพวงของ "กรรมหมู่" ที่พวกเราได้ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นในระดับจิตวิญญาณโดยไม่มีสติรู้ตัว

เศรษฐกิจและภัยพิบัติ: กระจกเงาแห่งจิตใจส่วนรวม

เศรษฐกิจที่ตกต่ำในปัจจุบันมิใช่เพียงแค่เรื่องราวของตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงระดับพลังงานของประชาชนทั้งประเทศ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นดินถล่ม น้ำท่วม พายุ หรือไฟป่า ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติอันธรรมดา

แต่เป็น "แรงสะท้อนกลับ" จากความรุนแรง ความโกรธแค้น ความโลภ และความเบียดเบียนซึ่งได้สะสมอยู่ในจิตใจของผู้คนจำนวนมาก หากเราพินิจพิจารณาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะพบว่าแม้แต่ "ผู้นำประเทศ" ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกบังคับหรือยัดเยียดมา แต่เป็นผลลัพธ์ของพลังงานร่วมของประชาชนทั้งชาติ

ผู้นำ: ภาพสะท้อนของพลเมือง

เรามักจะโทษกล่าวหานักการเมืองว่าทุจริต หลอกลวง เล่นเกมการเมืองจนประเทศดูเหมือนจะล่มสลาย แต่ในความเป็นจริง นักการเมืองเหล่านั้นไม่ได้มาจากที่ใดอื่น พวกเขาคือ "ภาพสะท้อนของเราเอง"

คนไทยทั้งประเทศคือผู้ที่อนุญาตให้บุคคลเหล่านี้ขึ้นมามีอำนาจ เพราะเราเลือกด้วยความกลัว เลือกด้วยความหลง เลือกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เลือกเพราะหวังว่า "คนชั่วจะเปลี่ยนแปลงได้" ทั้งที่ลึกๆ แล้วเราก็รู้ดีว่า "สิ่งที่เป็นสันดาน เปลี่ยนแปลงได้ยาก"

นี่คือจุดที่คนไทยควรหันกลับมาถามตัวเองว่า "ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหลีกหนีเวร หลีกหนีกรรม หลีกหนีเจ้ากรรมนายเวรของตัวเราเอง?"

เครือข่ายกรรมแห่งชาติ

คนไทยไม่ใช่เพียงแค่ร่วมกันอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แต่เราคือเครือข่ายกรรมเดียวกัน เราเกิดมาในชาตินี้ร่วมกันด้วยสัญญาเก่าแก่ บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ลำบาก พบเจอคู่ชีวิตที่นำมาซึ่งความทุกข์ พบเจอประเทศที่สับสนวุ่นวาย นั่นเป็นเพราะเราได้ผูกพันกรรมกันมาและยังมิได้ชดใช้

แม้บางคนจะพยายามปฏิบัติธรรม สร้างบุญ สร้างบารมี แต่หากกระทำเพียงลำพัง ท่ามกลางสังคมที่ยังจมอยู่ในกรรมหมู่ กำลังของแสงหนึ่งดวงจะไปต่อสู้กับพลังมืดของคนทั้งเมืองได้อย่างไร? ความดีของคนกลุ่มน้อยจึงมักถูกบดบัง จนคนดีหลายคนรู้สึกว่า "เหตุใดชีวิตจึงยังไม่ดีขึ้น"

เพราะสิ่งที่ต้องเข้าใจก่อนคือ กรรมประเทศคือกรรมของหมู่คน ไม่ใช่กรรมส่วนตัวล้วนๆ

วงจรของความล้มเหลว

หากประชาชนส่วนใหญ่ยังคิดผิด พูดผิด ทำผิด ไม่ว่าจะมีกี่คนที่มีเจตนาดี ประเทศก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรของผู้นำที่ขาดคุณธรรมและวิบัติภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

ทางออกมิใช่การโทษฟ้า โทษคนอื่น หรือโทษรัฐบาล แต่คือ "การกลับมานำชีวิตตัวเอง" ไม่ต้องไปแก้ไขกรรมประเทศ ไม่ต้องไปรับผิดชอบกรรมโลก แต่ "กลับมาแก้ไขกรรมตัวเองก่อน" ด้วยการปฏิบัติสามสิ่งให้มั่นคง

สามเสาหลักแห่งการหลุดพ้น

1. การบูชาชาติ

การบูชาชาติคือการบูชาแผ่นดินที่ให้เราอาศัย การบูชาไม่ใช่เพียงแค่การปักธง แต่คือการ "มีพฤติกรรมที่ทำให้แผ่นดินภูมิใจ" การซื่อสัตย์สุจริต การไม่เบียดเบียน การรักษาความสะอาดของแผ่นดิน

ความจงรักภักดีคือพลังที่ทำให้ "แผ่นดินตอบสนองกลับ" ด้วยความคุ้มครอง ผู้ที่รักชาติอย่างแท้จริงจึงมักอยู่รอดปลอดภัยเสมอ แม้อยู่ท่ามกลางภัยพิบัติ

2. การบูชาศาสนา

การบูชาศาสนาคือการบูชาคุณความดี บูชาความจริง บูชาครูบาอาจารย์ที่สืบทอดธรรมะ ศาสนาคือระบบที่เชื่อมโยงเรากับโลกวิญญาณ เมื่อคุณส่งบุญ โลกวิญญาณจะตอบรับและคุ้มครอง ความมั่นคงทางจิตวิญญาณคือเกราะแท้จริงในยุคที่โลกสั่นไหว

3. การบูชาพระมหากษัตริย์

พระมหากษัตริย์ไทยคือศูนย์รวมพลังจิตสูงสุดของชาติ ทรงเป็นตัวแทนของ "สถาบันแห่งคุณธรรม ความเสียสละ และการปกครองด้วยธรรม"

การบูชาพระมหากษัตริย์คือการเชื่อมจิตกับเกียรติภูมิสูงสุด เป็นการยกระดับพลังของตนให้เชื่อมต่อกับ "จิตจักรวาล" และเกราะศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่คุ้มครองแผ่นดินไทยมาแต่โบราณ

บทสรุป: สูตรแห่งการหลุดพ้น

การรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เพียงแค่พิธีกรรมหรือสัญลักษณ์ แต่คือ "สูตรแห่งการหลุดพ้น" จากกรรมประเทศที่บรรพบุรุษไทยมอบไว้ให้ ผ่านการปฏิบัติอย่างแท้จริง มีวินัยอย่างแท้จริง และเคารพในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงเพราะกระแส

ผู้ใดที่เข้าใจสิ่งนี้ จะสามารถ "ยืนอยู่เหนือความวิบัติ" เหมือนอยู่ในเขตพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางพื้นที่ที่คนอื่นเดือดร้อน ผู้มีศรัทธาจะพบทางรอด ผู้มีปัญญาจะนำทางผู้อื่น และผู้ที่บูชาสิ่งสูงสุดจะกลายเป็นเสาหลักค้ำจุนประเทศโดยแท้จริง

จงเป็นผู้นำตัวเองก่อน แล้วประเทศไทยจะมีผู้นำที่ดี โดยไม่ต้องรอคอยปาฏิหาริย์อีกต่อไป