In Global

ขงจื๊อฯ-คกก.ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย-จีน ร่วมจัดประชุมฟอรั่มอารยธรรมฯปี2025



กรุงเทพฯ-สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมไทย-จีน จัดการประชุม “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง ประจำปี 2025” ณ กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 เนื่องในวันสากลแห่งการสนทนาระหว่างอารยธรรมครั้งแรก สหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ ร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมไทย-จีน ได้จัดการประชุม “ฟอรั่มอารยธรรมแห่งความปรองดอง ประจำปี 2025” ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีบุคคลสำคัญทั้งจากไทย จีน และนานาชาติเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อร่วมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ภายใต้หัวข้อ “อยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง: ส่งเสริมอารยธรรมให้เจริญก้าวหน้า”

ซุน ชุนหลัน ประธานสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากทั่วโลก โดยระบุว่า ฟอรั่มครั้งนี้เป็นกิจกรรมสำคัญทางวัฒนธรรมเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ภายใต้แนวคิด “50 ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน” เธอย้ำว่า จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ทั้งทางภูมิศาสตร์และสายเลือด และควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างประชาคมร่วมไทย-จีนอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ซุน ชุนหลัน ยังกล่าวว่า แนวคิด “ความกลมเกลียวและการอยู่ร่วมกัน” เป็นรากฐานของอารยธรรมจีนและเป็นแก่นของภูมิปัญญาตะวันออก โดยฟอรั่มแห่งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ก่อตั้ง โดยมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากกว่า 60 ประเทศเข้าร่วมมากกว่า 1,000 คน ส่งเสริมความเข้าใจ ความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนอารยธรรม ฟอรั่มปีนี้จัดขึ้นในวันสากลแห่งการสนทนาระหว่างอารยธรรมของสหประชาชาติ ภายใต้หัวข้อ “อยู่ร่วมอย่างกลมเกลียว: ขับเคลื่อนความรุ่งเรืองทางอารยธรรม”

โรมาโน โปรดี อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างเอเชียกับยุโรปมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตร่วมของมนุษยชาติ ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำ เขาเสนอให้จัดตั้งกลไกแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเอเชียและยุโรป พร้อมส่งเสริมคุณค่าร่วมอย่างความยุติธรรม ความเคารพ และการศึกษาในเวทีระหว่างประเทศ

นายยาซูโอะ ฟูกูดะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น  กล่าวแสดงความยินดีผ่านลายลักษณ์อักษร ระบุว่า ความร่วมมือด้านอารยธรรมระหว่างไทยและจีนได้สร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ และเป็นต้นแบบให้กับภูมิภาคเอเชียและโลกในการสร้างประชาคมร่วมของมนุษยชาติ พร้อมเรียกร้องให้สร้างกลไกความร่วมมือที่ยั่งยืนในแนวทางอารยธรรมแห่งความกลมเกลียว

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย กล่าวในพิธีเปิดว่า แนวคิด “ปรองดอง” เป็นหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม และการเสวนาอย่างสันติจะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

ด้าน นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทย กล่าวว่าความหลากหลายไม่ควรเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง หากเรายึดมั่นในความเท่าเทียมและเปิดใจยอมรับความแตกต่างผ่านการสนทนาอย่างสร้างสรรค์ จะสามารถนำไปสู่อนาคตที่ใส่ใจในสวัสดิภาพของมนุษยชาติอย่างแท้จริง

เฟอร์แม็ง มาต็อกโก อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ องค์การยูเนสโก เน้นว่าการเสวนาอย่างเคารพในความหลากหลาย คือรากฐานของสันติภาพและความมั่นคง

ขณะที่นายพินิจ จารุสมบัติ ประธานสภาวัฒนธรรมและส่งเสริมความสัมพันธ์ไทยจีน รองประธานกรรมการสมาพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ กล่าวว่า ในโอกาสที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน เฉลิมฉลองมิตรสัมพันธ์ไมตรีทางการทูตครบ 50 ปีในปีนี้ ถือได้ว่าเป็นการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีนที่ยิ่งใหญ่และสำคัญของภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก

วันสากลแห่งการเสวนาอารยธรรม พวกเรามาร่วมกัน ณ กรุงเทพฯ เพื่อร่วมงานฟอรั่มอารยธรรมสันติและสมานฉันท์ 2025 ในนามของผู้ร่วมจัดงานสมาพันธ์ขงจื้อนานาชาติ และสภาวัฒนธรรมไทยจีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ขอต้อนรับผู้แทนรัฐบาล นักวิชาการ นักธุรกิจ นักศึกษา นักเรียน ครูบาอาจารย์ และสื่อมวลชนจากจีน ไทย และนานาชาติด้วยความยินดีและเป็นมิตรไมตรีอย่างอบอุ่นยิ่ง

งานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำราชอาณาจักรไทย พร้อมทั้งการร่วมแรงร่วมใจจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ศูนย์แลกเปลี่ยนความร่วมมือทางภาษาและวัฒนธรรมจีน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วัฒนธรรมจีน ณ กรุงเทพฯ และหน่วยงานอื่นๆ อีกหลายหน่วยงาน 

ปีนี้เรากำลังก้าวสู่ 50 ปีทองแห่งมิตรภาพไทยจีน ถือว่าเป็นก้าวย่างที่สำคัญมาก งานฟอรั่มครั้งนี้ที่จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "สันติสมานฉันท์เกื้อกูลผลักดันสร้างอารยธรรมที่รุ่งเรืองก้าวหน้า" นอกจากเวทีปาฐกถาแล้ว ยังมี 4 เวทีย่อย ได้แก่ เวทีนักวิชาการ เวทีอธิการบดีจากมหาวิทยาลัยนานาชาติทั่วโลก เวทีเยาวชน และเวทีนักธุรกิจด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุน พร้อมการแสดงละครรำ

การจัดงานครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการตอบรับวันสากลแห่งการเสวนาอารยธรรม ขององค์การสหประชาชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นมาตรการสำคัญ ในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในอาเซียน และนานาชาติทั่วโลก