In News

นายกฯถกปลัดฯรับมือปัญหาในตอ.กลาง คนไทยทั้ง2ปท.ร่วม4หมื่นคนยังปลอดภัย



กรุงเทพฯ-ขณะที่แรงงานกัมพูชาในไทย ป.แรงงานรายงาน ยังไม่มีการขอกลับประเทศ ที่เห็นตามข่าวเดินทางกลับส่วนใหญ่เป็นแรงงานชายแดนที่เดินทางไปกลับแต่ละวัน ขณะที่นายกฯ สั่ง ดีอี เร่งจัดการข่าวปลอม พร้อมย้ำทุกหน่วยงานต้องบูรณาการการทำงานเป็นหนึ่งเดียว

วันนี้ (18 มิ.ย. 68) เวลา 11.30 น. ณ ห้องประชุม The Synergy Hall ชั้น 6 อาคาร C Energy Complex (EnCo) กระทรวงพลังงาน ถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 5/2568 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า จำนวน 42 คน เข้าร่วมประชุม

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเรื่องข้อมูลข่าวสาร ซึ่งประชาชนได้รับข้อมูลมากมาย ที่ไม่มีที่มาทั้งบางเรื่องมาจาก การสร้างขึ้นของ AI หรือ จากไม่มีแหล่งที่มา บางครั้งอาจทำให้เกิดความสับสน ขอสั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ติดตามและดำเนินการจัดการข่าวปลอม (เฟกนิวส์) อย่างจริงจังและเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการผลักดันการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่ง ณ วันนี้ เหลือเวลาอีกประมาณ 4 เดือน จะสิ้นสุดปีงบประมาณ 2568 ขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณที่ค้างอยู่ตั้งแต่ปี 2567 ให้แล้วเสร็จ เพราะหากเบิกจ่ายไม่ทัน  อาจจะทำให้สูญเสียโอกาสสำคัญในการนำงบประมาณไปพัฒนาประเทศ

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการประชุมหัวหน้าส่วนราชการในวันนี้ กระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม รัฐบาลมีมาตรการเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะการลดค่าไฟฟ้าชั่วคราวในช่วงเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 2568 ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ ในระยะยาว ขอมอบหมายให้ กระทรวงพลังงาน ดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานไฟฟ้าให้มีความสมดุล ครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.ประชาชนต้องเข้าถึงไฟฟ้าที่มั่นคง มีการผลิตที่เพียงพอ 2.ราคาต้องเป็นธรรม และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และ 3.ต้องมุ่งสู่การผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน โดยใช้พลังงานสะอาด พร้อมทั้งมีระบบซัพพลายไฟฟ้าที่ไม่สร้างภาระเกินควรแก่ประชาชน

“สถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา รัฐบาลดำเนินการด้วยแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด และจะพยายามทำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับไปทำมาหากิน ประกอบอาชีพ และเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างมั่นคง โดยขอให้ทุกกระทรวงและผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงาน เร่งดูแลพี่น้องประชาชนในความรับผิดชอบของตนเอง ให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ และมีความปลอดภัยในการดำรงชีวิต ทุกหน่วยงานต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงจะทำให้เรามีฐานข้อมูลที่ครอบคลุม ซึ่งการรวมข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้วิเคราะห์และวางนโยบายได้ตรงจุดมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น ChatGPT ที่มีความสามารถจากการรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลไว้ในระบบ หากภาครัฐสามารถมีระบบฐานข้อมูลร่วมกันในลักษณะนี้ ก็จะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างตรงจุด คุ้มค่ากับงบประมาณที่ใช้ไป และเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง” นายกรัฐมนตรี ย้ำ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้รับรายงานจากปลัดกระทรวงแรงงานและปลัดกระทรวงการต่างประเทศรวมถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถึงสถานการณ์ประเทศอิสราเอลและอิหร่านว่า ที่อิสราเอลมีคนงานอยู่ประมาณ 40,000 รายและที่อิหร่านมีอยู่ประมาณ 300 กว่ารายได้ประสานงานกันเป็นที่เรียบร้อยซึ่งทั้งหมดปลอดภัยและพร้อมนำแรงงานกลับหากมีสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจให้อพยพ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์อยู่ในขณะนี้ ส่วนสถานการณ์แรงงานกัมพูชาในประเทศไทยยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการขอกลับประเทศกัมพูชาแต่อย่างใด ซึ่งที่ปรากฏเป็นภาพขาวส่วนใหญ่เป็นแรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในแนวชายแดนซึ่งเดินทางไปกลับอยู่เป็นประจำ