Think In Truth

การบูชาชาติ: เพื่อการแก้กรรมหมู่ของ 'ชาติไทย'  โดย: ฟอนต์ สีดำ



โลกยุคปัจจุบันถูกเข้าแทรกซึมด้วยทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theories) ที่อ้างว่ากลุ่มอำนาจลับระดับโลกกำลังควบคุมเหตุการณ์สำคัญทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เพื่อสถาปนาระบอบใหม่เหนืออำนาจรัฐชาติ บทความนี้ช่วยสำรวจ “คัมภีร์พาลันเทียร์” และโครงสร้าง “แมทริกซ์” ที่ถูกอ้างว่ามีส่วนต่อการสร้างวิกฤตในระดับชาติ พร้อมสู่แนวทางพลเมืองไทยในการ “บูชาชาติ” เพื่อแก้กรรมหมู่ให้ชาติแข็งแรง

1. รากฐานของ “คัมภีร์พาลันเทียร์” และแนวคิดสมคบคิดระดับโลก

คัมภีร์พาลันเทียร์ (The Palantir Canon) ซึ่งในที่นี้มิได้หมายถึงซอฟต์แวร์ของบริษัทชื่อเดียวกัน หากสื่อถึงภาพเชิงสัญลักษณ์ของโครงสร้างอำนาจลับที่เชื่อมโยงผ่าน “ดวงตาในสามเหลี่ยมเหนือปิรามิด” บนแบงค์ดอลลาร์ ตรงนี้เป็นตัวแทนของระบบควบคุมความคิดระดับโลกที่อาศัยกลไกแมทริกซ์แทรกซึมสู่ทุกมิติ—การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม การเงิน ผ่านกลไกอย่าง SWIFT, ธนาคารโลก และ IMF เพื่อปิดกั้นแนวคิดอิสระและควบคุมทรัพยากรโลก

2. แมทริกซ์: เครื่องมือปลูกฝังผ่านสถาบันที่ “ปกติ”

ระบบแมทริกซ์เปรียบเสมือนโครงสร้างจำลองความจริงที่ฝังอยู่ในสถาบันที่เราถือว่า “ปกติ”—โรงเรียน มหาวิทยาลัย ศาสนา สำนักข่าวและช่องทางสื่อสารมวลชน—เพื่อโปรแกรมความคิดของประชาชนให้เชื่อในกรอบอำนาจและหนี้สิน อย่างเช่น เมื่อแนวคิดใดหลุดกรอบ จะถูกโจมตีจากสื่อหรือกฎหมายเพื่อให้ชะลอหรือระงับอย่างทันท่วงที

3. กับดักหนี้สิน: อาวุธทางเศรษฐกิจที่ลอบทำลายชาติ

หนึ่งในกลไกสำคัญคือ “กับดักหนี้สิน” ที่ถูกวางผ่านโครงข่ายการเงินระหว่างประเทศ เช่น การให้กู้จากสถาบันการเงินโลก แลกกับการผูกพันประเทศนั้นเข้าสู่มาตรฐานและนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของประเทศ เหมือนกับปรากฏในหลายประเทศ เช่น ยูเครน อิหร่าน สหรัฐฯ และแม้กระทั่งเมืองไทย ผลลัพธ์คืออำนาจเบ็ดเสร็จถูกถือครองโดยกลุ่มผลประโยชน์นอกประเทศผ่านระบบเศรษฐกิจซึ่งไร้ความเป็นธรรม

4. กรรมหมู่ประชาชน: ภาระร่วมที่เราทุกคนมีส่วน

“กรรมหมู่” คือผลลัพธ์ของการกระทำร่วมกัน—การเลือกตั้งที่ยังไม่ตระหนัก วิเคราะห์รัฐประหารหรือความแตกแยกทางวาทกรรมอย่างล้มเหลว จนทำให้สถาบันชาติอ่อนแอลง ความเชื่อและการกระทำของประชาชนแต่ละคนล้วนร่วมสร้างกรอบเครือข่ายอำนาจและแมทริกซ์ที่กัดกร่อนความเป็นชาติ

5. แนวทาง “บูชาชาติ” ของพลเมืองไทย – ขยายแนวทางเชิงปฏิบัติและวิสัยทัศน์

5.1 จงรักภักดีอย่างบริสุทธิ์

การบูชาชาติเริ่มต้นจากจิตสำนึกแห่งความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตามค่านิยมสำคัญอย่าง “12 Core Values” ซึ่งถูกนำมาใช้ในโรงเรียนไทยหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557 เพื่อปลูกฝังคุณธรรม เช่น ความซื่อสัตย์ อดทน เคารพกฎหมาย และการวางประโยชน์สาธารณะเหนือประโยชน์ส่วนตน ดังนั้น พลเมืองไทยจึงควรฝึกฝนจิตตานุภาพในการเคารพกฎหมาย โดยเข้าใจว่ากฎหมายเป็นกรอบการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ และเมื่อปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็จะเกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ

5.2 ทบทวนพฤติกรรมตนเอง

การสะท้อนพฤติกรรมตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของความสามัคคีหรือไม่ เป็นก้าวสำคัญ พลเมืองที่ตระหนักรู้ว่าคำพูด การกระทำ หรือขบวนการขับเคลื่อนทางการเมืองของตนอาจเป็นบ่อนทำลายสถาบันชาติ ควรกล้าทักท้วงและปรับตัว การศึกษาในโรงเรียนได้สอนวินัย สำนึกหน้าที่ แต่ยังต้องขยายไปถึงการฝึกทักษะคิดวิเคราะห์ และให้โอกาสนักเรียนตั้งคำถามในห้องเรียนเพื่อฝึกจิตวิญญาณพลเมือง

5.3 ติดตามเหตุการณ์ทั้งภายในและภายนอกอย่างรับผิดชอบ

พลเมืองต้องมีความกระตือรือร้นในการรับรู้ข่าวสาร วิกฤติเศรษฐกิจ ปรากฏการณ์ความขัดแย้ง หรือภัยคุกคามทางความคิดที่อาจซ่อนอยู่ เช่นกลุ่มแมทริกซ์หรือการบิดเบือนข้อมูล การวิจัยในด้าน peacebuilding ชี้ว่าการสร้าง safe spaces” และการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการเจรจาสันติภาพ จะช่วยให้เกิดปัญญาประชาชนที่เข้มแข็ง การมีเครื่องมืออย่างแพลตฟอร์มแจ้งปัญหาเมือง (เช่น Traffy Fondue) ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ประชาชนมีส่วนกำกับดูแลรัฐอย่างเป็นรูปธรรม en.wikipedia.org

5.4 พัฒนาความรู้และนวัตกรรมในชีวิตประจำวัน

การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งหมายถึงต้องมีความรู้ที่ทันยุค และลงมือปฏิบัติจริง เช่น การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (sufficiency economy) มาใช้ในชีวิตประจำวันและชุมชน และการฝึกทักษะที่ใช้ได้จริง เช่น การใช้แพลตฟอร์มแจ้งปัญหาเมือง แสดงถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส อีกทั้งงานวิจัยระบุว่าการฝึกนักเรียนให้ทำงานจิตอาสาในชุมชนตั้งแต่เด็ก จะสร้างความผูกพันและจิตสำนึกสาธารณะที่มั่นคง

5.5 ร่วมกิจกรรมชุมชนอย่างตั้งใจ

การลงมือเข้าร่วมกิจกรรมชุมชน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมพัฒนาท้องถิ่น บริจาคทรัพยากร หรือเข้าร่วมวงเสวนาสาธารณะ จะช่วยสร้าง social capital” หรือทุนทางสังคม ซึ่งเป็นแรงขับสำคัญในการพัฒนาชุมชนและลดช่องว่างระหว่างรัฐ–ประชาชน นอกจากนี้ การรวมตัวกันผ่านองค์กรภาคประชาสังคม ช่วยให้เสียงของชุมชนได้ยินและนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายจริง

5.6 ทะนุบำรุงศาสนาในฐานะจิตวิญญาณร่วมของสังคม

ศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนา ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา เช่น ร่วมพุทธบูชา ทำบุญ ตักบาตร หรือปฏิบัติธรรม ไม่เพียงสร้างความสงบในใจแต่ยังเสริมเส้นใยจิตสำนึกของการเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบต่อสังคม การเจริญจิตเป็นการเสริมแนวทางการคิดและการกระทำที่ดี ซึ่งส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นคุณค่าต่อชาติอย่างเป็นรูปธรรม

5.7 แสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

การเข้าร่วมกิจกรรมวันสำคัญทางราชพิธี เช่น วันฉัตรมงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันพ่อแห่งชาติ รวมถึงการเคารพในพระราชพิธีต่าง ๆ มิใช่เพียงการแสดงออกภายนอก แต่เป็นการสะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ และเป็นการพัฒนา "symbolic performance" ที่สร้างแรงจูงใจร่วมกันของคนในชาติ

5.8 เฝ้าระวังภัยที่คุกคามความสามัคคีชาติ

การมีสติสาธารณะ (civic vigilance) เพื่อจับตาทั้งข่าวปลอม วาทกรรมแบ่งแยก และการใช้กฎหมายปิดปากกันประชาชนเป็นสิ่งจำเป็น หน่วยงานนักวิจัยการศึกษาแนะนำให้สร้าง “สื่อปลอดภัย” (safe spaces) อย่างกลับคืนผ่านโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือชุมชน เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถแสดงออกอย่างสร้างสรรค์และถูกต้องตามกฎหมาย การนำแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้ง Traffy Fondue มาใช้ในชุมชน ยังช่วยให้ประชาชนเป็นผู้ตรวจสอบและต่อรองกับรัฐบาลได้โดยตรง

แนวทางทั้ง 8 ประการนั้นสะท้อนความรับผิดชอบบนฐานของจิตวิญญาณพลเมืองที่มีความตระหนักในคุณค่า วินัย และพลังของชุมชน การบูชาชาติในยุคนี้จึงไม่ใช่เพียงพิธีกรรมทางสัญลักษณ์ แต่คือการสร้างพลเมืองที่รู้จักคิด พูด ทำ และตรวจสอบอย่างมีเหตุผล เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าด้วยความเข้มแข็ง สามัคคี และยั่งยืนในศตวรรษที่เราเรียนรู้ร่วมกัน

6. บทบาทของนโยบายรัฐในการเสริมสร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง

6.1 ปรับหลักสูตร “คติพลเมืองไทย” ชัดเจนในโรงเรียน

นโยบายภายหลังเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปี 2553 และรัฐประหารปี 2557 ได้ชี้ชัดถึงความสำคัญของการสร้าง mindset พลเมือง” ผ่านหลักสูตรการศึกษาที่มุ่งเน้น Civic Education ไม่ใช่แค่ความรู้ทางการเมืองแต่รวมถึงจริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการเคารพสิทธิของผู้อื่น ตัวอย่างโรงเรียนในไทยสามแห่ง พบว่าหลักสูตร Civic เน้นพัฒนาคนที่ร่วมใช้ชีวิตในสังคมด้วยสันติภาพและความรับผิดชอบ การดำเนินนโยบายนี้จำเป็นต้องสนับสนุนทั้งทรัพยากรและการฝึกอบรมครู เพื่อให้การสอนเชิงวิจารณญาณเกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน

6.2 วางกลไก “Seal of Civic Readiness”

เป็นนวัตกรรมจากประเทศสหรัฐฯ ที่ให้นักเรียนทำงานบริการชุมชนจริงจนได้รับตราประทับความพร้อมทางพลเมือง กระตุ้นให้เกิด Civic Seal และสร้างพฤติกรรม civic engagement ตั้งแต่เยาว์วัย หากไทยนำแนวทางนี้ใช้ ควรเริ่มจาก pilot ในบางจังหวัด พร้อมประเมินผลเชิงคุณภาพและปริมาณชัดเจน

6.3 สนับสนุนการเรียนรู้ผ่าน “Youth Participatory Action Research (YPAR)”

นโยบายรัฐควรออกแบบให้เยาวชนมีส่วนในการวิจัยและแก้ไขปัญหาชุมชนของตน เรียนรู้ผ่านการลงมือจริง เช่น การสำรวจข้อมูลปัญหาที่กินลึกในชุมชน แล้วพัฒนามาตรการแก้ไขและเสนอแนวทางต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นแนวทางที่ proven ว่าช่วยพัฒนา civic engagement ไม่ว่าจะในสหรัฐฯ หรือนักเรียนกลุ่มชายขอบ

6.4 ยกระดับ Civic Engagement ผ่านหน่วยงานรัฐ

กรณี ศูนย์พัฒนาประชาธิปไตยระดับตำบล (SDDC) ภายใต้ กกต.เป็นตัวอย่างเชิงนโยบายที่สนับสนุนให้ประชาชนพัฒนาคุณภาพพลเมืองในชุมชน ต่อยอดไปถึงการตรวจสอบและมีส่วนร่วมกับหน่วยงานรัฐในระดับล่างect.go.th รัฐควรขยายผลโครงการนี้ทั้งในมิติพื้นที่และรูปแบบกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์

6.5 เปิดพื้นที่ “e-Democracy” และการมีส่วนร่วมออนไลน์

รัฐควรส่งเสริมแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วมสาธารณะ (ตามแนวคิด collaborative e-democracy และ e-participation) เช่น ช่องทางให้ประชาชนเสนอแผนงาน งบประมาณ หรือเข้าร่วมประชุมผ่านออนไลน์ เพิ่มความโปร่งใส เข้าใจการทำงานของภาครัฐ และลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับนักบริหารen.wikipedia.org

6.6 ใช้กลไก “Participatory Budgeting”

จัดให้มีเวทีประชาชนร่วมตัดสินใจงบประมาณท้องถิ่น เพื่อสร้างวัฒนธรรม “รัฐ-ประชาชนร่วมกันกำกับงบ” โดยมีการจัดสรรงบอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้จากชุมชน ซึ่งผลจากต่างประเทศชี้ว่า ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ กระตุ้นความไว้วางใจ และเสริมศักยภาพการจัดการงบภาครัฐร่วมกัน

6.7 ส่งเสริม “Citizens’ Assemblies” เพื่อการตัดสินใจเชิง deliberative

ระบบสภาประชาชนหรือผู้แทนโดยสุ่ม (citizens’ assemblies) ถูกใช้ในประเทศอย่างไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย เพื่อหารือประเด็นใหญ่ เช่น กฎหมาย สิทธิผู้ประกอบการภาคประชาชน การศึกษา เป็นต้น การนำแนวทางนี้มาปรับใช้ในไทย จะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการทางประชาธิปไตย

6.8 ใช้เทคโนโลยี Open Government และ Civic Tech

ประเทศสมาชิกโครงการ Open Government Partnership (OGP) ไทยควรเข้าร่วม เพื่อใช้ civic tech เช่น แพลตฟอร์มรายงานปัญหา (Traffy Fondue) ระบบเปิดเผยข้อมูลงบประมาณ (open data) และการมีส่วนร่วมตรวจสอบร่วมกับ NGO นักวิชาการ และภาคธุรกิจ เสริมสร้างความโปร่งใสและความเชื่อถือระหว่างรัฐกับประชาชน

นโยบายเสริมสร้างพลเมืองที่เข้มแข็งไม่ใช่เพียงความหวัง แต่เป็นกระบวนการที่รัฐต้องออกแบบ เชื่อมโยง ทรัพยากรสนับสนุน และวัดผลอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาการศึกษาเพื่อพลเมือง การสร้างพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่วัยเยาว์ จัดงบประมาณผ่านประชาชน และยกระดับความโปร่งใสด้วยเทคโนโลยี จะช่วยสร้าง “พลเมืองรู้คิด ร่วมตรวจสอบ และมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในสังคม” ส่งผลโดยตรงต่อการรักษาความมั่นคงของชาติผ่านแนวทางบูชาชาติอย่างยั่งยืนครับ

วิกฤต “กรรมหมู่” ของชาติไม่มีทางแก้ได้ด้วยการรอคอยจากผู้นำรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องอาศัยพลังจากพลเมือง ในการสร้างอุดมการณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของชาติไทย ผ่านการบูชาชาติที่บริสุทธิ์ พัฒนา และระแวดระวังความเชื่อทางลวง ไม่ว่าจะมาจากระบบแมทริกซ์ใด หรือคัมภีร์ลึกลับรูปแบบไหน หากเราหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง พลเมืองไทยจะกลายเป็นกำแพงป้องกันความเสื่อมของชาติได้อย่างแท้จริง