Digitel Tech & AI

การ์ทเนอร์ชี้เทคโนEarth Intelligence  โอกาสทำรายได้ใหม่ถึง20พันล.ดอลลาร์



กรุงเทพฯ-ประเทศไทย  22 กรกฎาคม 2568 การ์ทเนอร์เผย เทคโนโลยีเก็บข้อมูลอัฉริยะของโลก หรือ Earth Intelligence จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกอุตสาหกรรม เนื่องจากเทคโนโลยีนี้กำลังเปลี่ยนมือจากภาครัฐสู่ภาคเอกชนอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2030 คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นเกินกว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ จากเกือบ 3.8 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ตามรายงานของการ์ทเนอร์ล่าสุดยังระบุว่า โอกาสการสร้างรายได้โดยตรงสะสมจาก เทคโนโลยี Earth Intelligence สำหรับผู้ให้บริการเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จะมีมากถึงเกือบ 20 พันล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่ปี 2025 ถึง 2030 (ดูรูปที่ 1)

การคาดการณ์รายได้ของผู้ให้บริการเทคโนโลยีนี้ มุ่งเน้นไปที่รายได้โดยตรงจากข้อมูล บริการวิเคราะห์ และแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ของเทคโนโลยี Earth Intelligence โดยไม่ได้นำปัจจัยที่ขับเคลื่อนมูลค่าของ Earth Intelligence วงกว้างมาคำนวณ ซึ่งอาจรวมถึงการปรับปรุงประสิทธิผลการทำงานและการหลีกเลี่ยงต้นทุน

การ์ทเนอร์ให้คำจำกัดความเทคโนโลยี Earth Intelligence ว่าเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI รวมกับข้อมูลการสำรวจโลก เพื่อเสนอโซลูชันที่เฉพาะเจาะจงสำหรับภาคอุตสาหกรรมและฟังก์ชันทางธุรกิจ ครอบคลุมตั้งแต่การรวบรวมและนำเสนอข้อมูลการสำรวจโลก การแปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และนำข้อมูลนั้นมาใช้เพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้กับโมเดล เครื่องมือ และแอปพลิเคชัน AI ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละโดเมน

Bill Ray รองประธานนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์กล่าวว่า "อนาคตของ Earth Intelligence จะเป็นของผู้ขายที่เคลื่อนตัวได้ไวในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้เข้าใจข้อมูลดิบจำนวนมหาศาลที่เก็บรวบรวมไว้"

"ข้อมูล Earth Intelligence เพิ่งได้รับการตระหนักถึงคุณค่า ตัวอย่างเช่น ผู้ขายกำลังใช้ประสิทธิภาพจากดาวเทียมเพื่อระบุตำแหน่งต้นไม้ที่ล้มขวางทางรถไฟช่วงเกิดพายุ หรือการตรวจสอบอุณหภูมิของโรงหลอมโลหะ (Metal Refinery) ทุกแห่งเพื่อประเมินการผลิตทั่วโลก หรือการนับจำนวนยานพาหนะเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการจราจรและเทรนด์ผู้บริโภค รวมถึงการติดตามสินค้าขนส่งทางทะเลเพื่อประเมินกิจกรรมการขนส่งต่าง ๆ โดยข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เคยมีมาก่อนเหล่านี้กำลังสร้างมูลค่ามหาศาล และทำให้พบยูสเคสการใช้งานใหม่ ๆ ถูกค้นพบทุกวัน ขณะที่การแข่งขันของผู้ขายเทคโนโลยี AI ทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมกับปริมาณข้อมูลที่มีอยู่ก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง" Bill Ray กล่าวเพิ่มเติม

รูปที่ 1: High-Tech FutureSight: Earth Intelligence

ปัจจุบัน ข้อมูลดิบที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยี Earth Intelligence ถูกรวบรวมและวิเคราะห์โดยรัฐบาลเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 องค์กรเอกชนจะใช้จ่ายเพื่อเทคโนโลยี Earth Intelligence มากกว่ารัฐบาลและหน่วยงานทหารรวมกัน โดยคิดเป็นมากกว่า 50% ของ Earth Intelligence ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากในปี 2024 ที่มีน้อยกว่า 15%

"เมื่อผู้ให้บริการเทคโนโลยีและบริการเอกชนเริ่มให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Earth Intelligence พวกเขาจะมีโอกาสขายข้อมูล โมเดล และแอปพลิเคชันให้กับบริษัทที่ขาดแคลนทรัพยากรด้านการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่ง Earth Intelligence จะนำไปสู่ตลาดและข้อเสนอใหม่ ๆ ทั้งในด้านข้อมูล โมเดล เครื่องมือและแอปพลิเคชันแบบสแตนด์อะโลน รวมถึงมีความสามารถในการฝังเทคโนโลยีนี้ในแอปพลิเคชันที่มีอยู่เดิม เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ให้บริการเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์" Bill Ray กล่าวเพิ่มเติม

สภาพเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังวิวัฒนาการ เนื่องจากดาวเทียมวงโคจรต่ำมาก (Very Low Earth orbit หรือ VLEO) มีต้นทุนการสร้างและการปล่อยที่ถูกลง และดาวเทียมเหล่านี้กำลังเฝ้าดูโลกในแนวทางใหม่ เทคนิคเรดาร์และไฮเปอร์สเปกตรัมสามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่เคยมองเห็น และอาจใช้เวลาย้อนกลับมาสำรวจเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น บริษัทเอกชนยังทดลองกับ VLEO ที่สามารถให้ความละเอียดต่ำถึง 10 เซนติเมตร ซึ่งเล็กมากพอที่จะส่องเห็นหนู

"สิ่งนี้กำลังเริ่มขึ้นและจะยังคงขับเคลื่อนข้อมูลการสำรวจโลกในปริมาณมหาศาลต่อไป การรวบรวมข้อมูลดาวเทียมเข้ากับข้อมูลการสำรวจภาคพื้นดินจากเซนเซอร์และโดรนจะสร้างมูลค่าให้กับเทคโนโลยี Earth Intelligence ยิ่งขึ้น นี่คือจุดที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่เหมือนเทคโนโลยีในโดเมนอื่น ๆ ที่มีข้อมูลมากมายอยู่แล้ว แต่ข้อมูลนั้นต้องได้รับการออกแบบให้เป็นข้อมูลที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์เพื่อป้อนให้กับโมเดล AI ที่มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมและฟังก์ชันทางธุรกิจ"