In News

รัฐฯเร่งช่วยปชช.พื้นที่ชายแดนไทย-เขมร วอนม๊อบอย่าผสมโรงหวั่นเข้าทางเขมร



กรุงเทพฯ-เกาะติดสถานการณ์การแก้ปัญหาของรัฐในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-เขมรกำลังระอุ  วอนเถอะม็อบ!!! ขอแกนนำผู้ชุมชุมนัดชุมนุม 27 กค นี้ วันนี้ประเทศเผชิญ ศึกนอกใหญ่หลวงนัก ..ขอพักศึกในไว้ก่อน หวั่นเข้าทางเขมร วันนี้ต้องร่วมใจกันสามัคคีเดินหน้าประเทศไทย ชี้ไม่ว่าใครมาเป็นนายกฯ เขมรก็จะทำแบบนี้ ขณะที่รัฐบาลสั่งการด่วนให้ผู้ว่าฯชายแดน รวบรวมรายชื่อผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ เพื่อใช้งบประมาณเยียวยาจากกองทุนสำนักนายกฯ เบื้องต้น พร้อมให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องระดมสรรพกำลังให้การช่วยเหลือ พร้อมสั่งทุกส่วนราชการเร่งให้ความช่วย ปชช.ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน กษ. ตั้ง “War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตรอย่างใกล้ชิด ส่วน ศธ.สั่งปิดโรงเรียน เร่งให้ความช่วยเหลือครอบครัวนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ ด้านต่างประเทศ“มาริษ” รมว. ต่างประเทศ ประชุมอยู่ที่สหประชาชาติ ระบุจะใช้เวลาชี้แจงความเข้าใจสมาชิก UN ว่าไทยถูกเปิดฉากยิงก่อนและถูกละเมิดอธิปไตย/รัฐบาลสั่งทุกส่วนราชการเร่งให้ความช่วย ปชช.ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน กษ. ตั้ง “War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตรอย่างใกล้ชิด ส่วน ศธ.สั่งปิดโรงเรียน เร่งให้ความช่วยเหลือครอบครัวนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ

ศึกนอกใหญ่หลวงนัก…!! ศึกในผสมโรง ระวังเข้าทางเขมร

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2568   เวลา 08.30 น.  นายจิรายุ ห่วงทรัพย์  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย จะจัดการชุมนุมในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ว่า ขอวิงวอนว่า อย่าปล่อยให้ศึกในไปผสมศึกนอก จะทำให้เรื่องศึกใหญ่ไทย-เขมร จะปิดจบยาก วันนี้คนในชาติต้องร่วมแรงร่วมใจกันสามัคคีเพื่อเดินหน้าประเทศไทย เพราะวันนี้ ศึกนอกใหญ่หลวงนัก ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาสร้างศึกในให้เขมรหัวเราะเยาะเย้ยประเทศไทย 

ทั้งนี้ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี เราได้เห็นแล้วว่ารัฐบาลกัมพูชา มีเจตนาพิเศษชัดเจน ว่ามีความพยายาม จะปลุกกระแสการครอบครองพื้นที่ของประเทศไทยในปราสาทต่างๆ โดยพยายามลากขึ้นศาลโลก นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากนโยบายของรัฐบาลในการดำเนินการอย่างเข้มข้นในการตัดวงจรการค้ามนุษย์ ยาเสพติด และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หมักหมมมานาน จนคนไทยถูกหลอก สูญเสียครอบครัว ทางเศรษฐกิจและสังคม หลายคนจบชีวิตลง จากการสิ้นเนื้อประดาตัว ที่ถูกกระทำจากแก๊งคอลเซนเตอร์ในประเทศกัมพูชา

ดังนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่า กัมพูชามีเป้าหมายแทรกแซง บ่อนทำลายประเทศไทย ในทุกวิธีการ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลกัมพูชาก็มีแผนการเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

"วันนี้จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะทำให้บ้านเมืองบอบช้ำไปกว่าเดิม ทำให้ภาพของคนสั่งยิงใส่โรงพยาบาล ยิงประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์อย่างฮุนเซน มีอิทธิพลปลุกคนลงถนนไล่รัฐบาล ทั้งที่ประเทศต้องการความสามัคคี พักศึกในสู้ศึกนอก เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์เรามีเหนือกว่า อย่าเป็นเครื่องมือให้เขาใช้ความแตกแยกของคนไทยกันเอง เป็นอาวุธทำร้ายเรามากกว่านี้เลยครับ"

รัฐบาลสั่งด่วนให้ผู้ว่าฯชายแดนรวบรวมรายชื่อผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บรับเยียวยา

เวลา 08.15 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สรุปตัวเลขของประชาชนและเจ้าหน้าที่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ประทะกันตามแนวชายแดน ทั้งในส่วนที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และทรัพย์สิน โดยให้ส่งรายละเอียดให้กับแต่ละจังหวัดเพื่อดำเนินการสรุปจำนวน มอบเงินช่วยเหลือชดเชยเยียวยา ทั้งในส่วนข้าราชการทหารและประชาชน โดยเบื้องต้น จะใช้เงินของกองทุนสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบรรเทาทุกข์ในเบื้องต้น ส่วนการเยียวยาด้านอื่นๆ ให้เร่งรัดสรุปกลับไปยังกระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดน อาทิ

-กระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งปิดโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงชั่วคราว 
-กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการเปลี่ยนโรงพยาบาลในพื้นที่เป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราว รวมถึงอพยพคนป่วย ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดไปสู่โรงพยาบาลอื่น ๆ ที่ปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว 
-กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดูแลเรื่องการเยียวยาและบรรเทาทุกข์เบื้องต้น
-กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ตรวจสอบและแก้ไขประชาสัมพันธ์ข่าวเท็จในสถานการณ์
-กระทรวงมหาดไทย ให้ดำเนินการตามแผนการ ร่วมกับกองทัพในพื้นที่ในการดูแลประชาชนในทุกมิติ

ส่วนมาตรการด้านการต่างประเทศ รัฐบาลยืนยันได้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาลง โดยได้แจ้ง กระทรวงการต่างประเทศให้เรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศไทยแล้ว และส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับสู่ประเทศ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่มีความรุนแรงที่สุดในทางการทูต นายจิรายุกล่าว

รมว. ต่างประเทศ ประชุมอยู่ที่สหประชาชาติชี้ไทยถูกกระทำ

เมื่อวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี ค.ศ. 2025 (High-Level Political Forum on Sustainable Development 2025: HLPF2025) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (UN) นครนิวยอร์ก โดยการประชุม HLPF2025 เป็นเวทีสำคัญประจำปีของ UN ที่มุ่งติดตามและเร่งรัดการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน    

ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่ขณะนี้ได้อยู่ในเวทีสหประชาชาติในห้วงที่เกิดความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา

นายจิรายุกล่าวต่อไปว่าวันนี้เวลา 18:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย นายมาริษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะวีดีโอคอลประชุมกับส่วนงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยเพื่อชี้แจงและทบทวนขั้นตอนการเตรียมความพร้อมรับมือหากต้องมีการอพยพคนไทยในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีคนไทยและนักลงทุนไทยอยู่ และจะชี้แจงในกรณีที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับสมาชิก UN ในกรณีไทยถูกเปิดฉากยิงถล่มในช่วงเช้าวันนี้เพื่อให้นานาชาติเข้าใจ ซึ่งพยานหลักฐานชัดเจนพบว่ากองทัพกัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ และขัดต่อหลักการสากล โดยการเลือกยิงเป้าหมายที่เป็นพลเรือนทั้งโรงพยาบาลและพื้นที่สาธารณะของประชาชนคนไทย นายจิรายุกล่าว

กษ.-ศธ.ตั้งWar roomช่วยโรงเรียน-เกษตรกรชายแดน

 

เวลา 08.00 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะกันระหว่างกำลังความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลได้บูรณาความร่วมมือ สั่งการให้ทุกภาคส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยยึดหลักความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก พร้อมเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์

นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดตั้ง “War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตร ชายแดนไทย-กัมพูชา” เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม และวิเคราะห์ผลกระทบด้านการเกษตรในพื้นที่จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด ทั้งติดตามสถานการณ์พื้นที่เกษตรในแนวชายแดนแบบเรียลไทม์ และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการผลิตพืช สินค้าเกษตร และปศุสัตว์ รวมถึง วางแผนเผชิญเหตุและเสนอแนวทาง ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานในพื้นที่ และสื่อสารสถานการณ์แก่เกษตรกรและประชาชนให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว โดยจะใช้ระบบ ข้อมูลเชิงพื้นที่ (GIS-Based Dashboard) เพื่อเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรหลักที่อยู่ในรัศมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีการตั้ง “ศูนย์ย่อยประสานงานจังหวัด” ในระดับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด เพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลภาคสนาม จากตำบล อำเภอ และประสานมาตรการเร่งด่วนในพื้นที่

ขณะที่ กระทรวงศึกษาธิการ นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ และมีคำสั่งปิดโรงเรียนทุกแห่งในบริเวณที่เกิดเหตุการปะทะ เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่ พร้อมกำชับให้โรงเรียนในเขตชายแดนจัดเตรียมแผนรับมืออย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเตรียมหลุมหลบภัย หรือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียน รวมถึงสั่งการให้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อรองรับนักเรียนและครอบครัวที่อาจต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้ นักเรียนที่เสียชีวิต กระทรวงศึกษาธิการ จะเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือครอบครัวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนักเรียนที่ได้รับผลกระทบด้านร่างกายและจิตใจ จะเร่งประสานการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง

“รัฐบาล ขอให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน มั่นใจว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมทุกมาตรการรองรับเพื่อบรรเทาผลกระทบ พร้อมทั้งให้การช่วยเหลือในทุกด้าน สำหรับข้อร้องเรียนด้านการเกษตรหรือแจ้งข้อมูลพื้นที่เสี่ยง สามารถติดต่อ สำนักงานเกษตรอำเภอ สำนักงานเกษตรจังหวัดใกล้บ้าน ส่วนกระทรวงศึกษาธิการจะประเมินสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง และจะพิจารณาเปิดเรียนตามปกติเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในระยะยาว” นายอนุกูล ระบุ