Think In Truth

กรรมสนองสงครามเงา:ปฏิบัติการท้าทาย มนุษยธรรมของระบอบฮุนเซน



บทนำ: เมื่อไฟความโกรธลุกไหม้กลางพรมแดน

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เสียงเพรียกของความเจ็บปวดได้แผ่ซ่านไปทั่วผืนแผ่นดินไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่ติดกับกัมพูชา ภาพของบ้านเรือนที่ถูกยิงถล่ม โรงพยาบาลที่กลายเป็นเป้าโจมตี และครอบครัวที่สูญเสียคนที่รักจากการสังหารหมู่ของทหารเขมร ได้ปลุกเร้าความโกรธแค้นในจิตใจของประชาชนอย่างรุนแรง ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์ร่วมยาวนาน ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งภายใต้บริบทใหม่ที่มีทั้งภูมิรัฐศาสตร์ มหาอำนาจ และผลประโยชน์แฝงเร้นเข้ามาเกี่ยวพันอย่างแน่นหนา

1. จุดเริ่มต้นของปัญหา: ปลายน้ำแห่งการยั่วยุ

การกระทำของทหารกัมพูชาที่ยิงปืนใหญ่และจรวดเข้าใส่หมู่บ้านและโรงพยาบาลในเขตแดนไทยไม่เพียงแต่ละเมิดหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น หากแต่ยังตบหน้าหลักมนุษยธรรมอย่างไม่เหลือเยื่อใย การสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงการวางกับระเบิดใส่ทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ความสงบ ได้สร้างบาดแผลลึกให้แก่สังคมไทยทั้งในแง่จิตใจและศักดิ์ศรีแห่งชาติ

ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือ การที่กัมพูชาไม่เพียงแต่อาศัยการรุกรานเป็นเครื่องมือ หากยังเดินหน้าไปกล่าวหาประเทศไทยบนเวทีระหว่างประเทศว่าก่อสงครามและรังแกเพื่อนบ้าน ซึ่งนับเป็นการบิดเบือนความจริงและยั่วยุให้เกิดความเข้าใจผิดในระดับโลกอย่างอุกอาจ

2. การพลิกผันของสถานการณ์: ความจริงที่เปิดโปง

สถานการณ์ซึ่งแต่แรกดูเหมือนจะเป็นกับดักที่ไทยตกอยู่ในฐานะฝ่ายตั้งรับ ได้เปลี่ยนทิศอย่างสิ้นเชิง เมื่อสื่อมวลชนระหว่างประเทศ องค์กรสิทธิมนุษยชน และนักวิเคราะห์อิสระเริ่มเปิดโปงความโหดร้ายของทหารกัมพูชา ความพยายามสร้างภาพของรัฐบาลฮุนเซนในฐานะ “ผู้ถูกรังแก” กลับกลายเป็นความตลกร้ายในสายตาประชาคมโลก

โลกได้เห็นภาพโรงพยาบาลพนมดงรักที่ถูกยิงถล่มด้วยจรวดและปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง เห็นความเสียหายของปั๊มน้ำมันและชุมชนพลเรือนที่ไร้ความสามารถในการตอบโต้ ทุกหลักฐานตอกย้ำว่ากัมพูชาเป็นผู้ริเริ่มความรุนแรง ไม่ใช่เหยื่ออย่างที่อ้าง

3. สหรัฐฯ ถอนตัว: เมื่อความจริงกระชากหน้ากาก

เดิมที การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หรือบุคคลในค่ายสหรัฐฯ เข้ามาไกล่เกลี่ย ได้สร้างความกังวลว่าไทยอาจเสียเปรียบจากแรงกดดันของมหาอำนาจ แต่เมื่อหลักฐานเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามของกัมพูชาถูกเปิดเผย ท่าทีของสหรัฐฯ กลับพลิกจากการประนีประนอม เป็นการแสดงความกังวลอย่างยิ่ง

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถึงกับออกแถลงการณ์แสดงความตกใจกับการกระทำของระบอบฮุนเซน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความร่วมมือหรือการสนับสนุนใดๆ ที่เคยมี เริ่มจะกลายเป็นภาระทางศีลธรรมและการเมืองที่สหรัฐฯ ไม่อาจแบกรับได้อีกต่อไป

4. จีนไม่พอใจ: เมื่อพันธมิตรกลายเป็นผู้ทรยศ

กัมพูชาเคยเป็น “รัฐในอุปถัมภ์” ของจีนมาโดยตลอด โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจำนวนมหาศาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคง แต่เมื่อรัฐบาลฮุนเซนเริ่มแสดงท่าทีโน้มเอียงไปทางสหรัฐฯ ยกย่องทรัมป์ว่าเป็นผู้นำสันติภาพ และมีข่าวลือว่าจะยกท่าเรือเรียมให้สหรัฐฯ ใช้งาน จีนจึงมองว่านี่คือการหักหลังอย่างเปิดเผย

จีนซึ่งเคยออกมาปกป้องกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ กลับเลือกที่จะเงียบงันในครั้งนี้ และเสนอเพียงบทบาท “ผู้ไกล่เกลี่ยเป็นกลาง” ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า จีนกำลังละมือจากการอุปถัมภ์ระบอบฮุนเซน

5. เกาหลีใต้เอาคืน: เมื่อศรัทธาสิ้นสูญ

กัมพูชาเคยได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากเกาหลีใต้ ทั้งในรูปแบบของการค้า การลงทุน และความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา แต่ความสัมพันธ์นั้นได้ถูกบ่อนทำลายลงอย่างรวดเร็วเมื่อกัมพูชาไม่สนองคุณ กลับคงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นศัตรูของเกาหลีใต้

เมื่อเหตุการณ์ความรุนแรงกับไทยถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ชาวเกาหลีใต้เริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจน ทั้งในสื่อกระแสหลักและโซเชียลมีเดีย พาดหัวข่าวในสื่อเกาหลีใต้ชี้ชัดว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตี และความคิดเห็นจากประชาชนเกาหลีก็ยืนเคียงข้างไทยอย่างไม่ลังเล

6. การล่มสลายของระบอบฮุนเซน: กับดักที่สร้างเอง

เมื่อมหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ จีน และเกาหลีใต้ ต่างทยอยถอนการสนับสนุน กัมพูชาก็ถูกโดดเดี่ยวในระดับโลกอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อระบอบที่นำโดยตระกูลฮุนกำลังเสื่อมสภาพจากภายใน

  • เสาหลักที่ผุพัง ได้แก่
    1. การคอร์รัปชันที่เป็นระบบ
    2. การกดขี่ที่โหดร้าย
    3. การสนับสนุนอุตสาหกรรมคอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมาย ซึ่งพัวพันกับการค้ามนุษย์และแรงงานทาส
  • สัญญาณการล่มสลาย ปรากฏชัดในหลายรูปแบบ:
    1. การถอนการลงทุนจากต่างประเทศ
    2. การทิ้งระยะของจีนและประเทศพันธมิตร
    3. การล่มสลายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เคยเป็นเส้นเลือดการเงินของผู้มีอำนาจ
    4. ความไม่พอใจของประชาชนในชนบทและเขตเมืองที่ถูกปล้นสิทธิ์
    5. การหลบหนีของขุนพลทางการเมืองและทหารที่เคยจงรักภักดี

ท้ายที่สุดแล้ว ระบอบฮุนเซนจะไม่ล่มสลายด้วยปืนจากภายนอก หากแต่จะถูกฉีกทำลายจากความชั่วร้ายที่หมักหมมอยู่ภายใน

บทสรุป: สะท้อนจากเปลวเพลิงแห่งกรรม

เมื่อเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นปะทุขึ้น ก็ย่อมพาให้ความจริงผุดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ความยุติธรรมแม้จะช้า แต่เมื่อมาถึงก็ย่อมให้ผลตอบแทนอย่างสมควร กัมพูชาได้ก่อกรรมด้วยการยั่วยุและก่ออาชญากรรมสงคราม จึงมิอาจหลีกหนีผลแห่งกรรมที่กำลังตามทันในระดับนานาชาติ

พวกเราคนไทยและคนทั้งโลกต่างสดุดีทหารไทยผู้กล้า ซึ่งแม้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากนานาชาติ ก็ยังคงรักษาอธิปไตยของชาติไว้ได้อย่างแน่วแน่ พร้อมกับไว้อาลัยอย่างสุดซึ้งแด่พลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับความอำมหิตของสงคราม

ในห้วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้ว่า ความยุติธรรมอาจช้า...แต่ไม่เคยเงียบงัน

หมายเหตุ
บทความนี้เรียบเรียงโดยอ้างอิงจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รายงานข่าวต่างประเทศ (สำนักข่าว CNN, The Diplomat, Khmer Times) และบทวิเคราะห์ของนักวิชาการด้านความมั่นคง ณ เดือนสิงหาคม 2568