In News

รัฐฯแถลงผลสำเร็จหารือเอกชนระดับโลก เผยยอดลงทุนไทยกว่า5.5แสนล.ช่วง2ปี



กรุงเทพฯ-แถลงผลสำเร็จการหารือภาคเอกชนชั้นนำระดับโลก ลงทุนในไทยกว่า 5.5 แสนล้านบาท ในช่วง 2 ปี ย้ำความเชื่อมั่นภาคเอกชนต่อเศรษฐกิจไทย!พร้อมเดินหน้าความร่วมมือรัฐ-เอกชน มูลค่าลงทุนกว่า 5.1 หมื่นล้านบาท สร้างแรงงานทักษะสูง ตอบโจทย์การเติบโตของภาคอุตสาหกรรม

วันนี้ (วันพุธที่ 6 สิงหาคม 2568) เวลา 11.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังเป็นประธานการหารือกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก ในงาน “Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand’s Future - Prime Minister’s Dialogue with Global Investors” โดยนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการแถลงข่าว ดังนี้

นายภูมิธรรมกล่าวต้อนรับนักลงทุน โดยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับทุกคนในวันนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการร่วมหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มบริษัทชั้นนำของโลกที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และไทยพร้อมรับมือความไม่แน่นอนจากอัตราภาษีสหรัฐฯ
พร้อมยังกล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดจากการที่สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ โดยประเทศไทยถูกเรียกเก็บในอัตรา 19% โดยรัฐบาลไทย ตระหนักถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและกติกาการค้าระหว่างประเทศ และมุ่งใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงกลไกต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสามารถลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

นายภูมิธรรมเน้นย้ำว่า รัฐบาลมีความจริงใจและตั้งใจอย่างแน่วแน่ในการรักษาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของทุกบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน 

นอกจากนี้ ไทยจะเดินหน้าพัฒนากฎระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ พัฒนาทักษะแรงงาน เตรียมความพร้อมด้านพลังงานสะอาด และเร่งเจรจาเปิดตลาดการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ประเทศไทยมีความตกลงทางการค้า 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ และอยู่ระหว่างการเจรจาเพิ่มเติมกับอีกหลายประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความได้เปรียบให้กับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงการเดินหน้ากลไกพลังงานสะอาด รองรับแนวทาง ESG โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG โดยได้เปิดให้บริการกลไก Utility Green Tariff (UGT1) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดพร้อมเอกสารรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน มีบริษัทสนใจยื่นขอใช้บริการแล้วกว่า 40 ราย และมีแผนเปิดตัว UGT2 ซึ่งสามารถระบุแหล่งพลังงานที่มาได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างเตรียมเปิดกลไก Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อพลังงานสะอาดโดยตรงจากผู้ผลิตผ่านสายส่งของรัฐ โดยในระยะแรกจะให้บริการกับกลุ่มธุรกิจ Data Center จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ และหากประสบผลสำเร็จ จะขยายไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไปโดยกลไกพลังงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการปรับแผน เพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดจาก 26% เป็น 51% ภายในปี 2580

ที่สำคัญ รัฐบาลจะเร่งพัฒนาบุคลากรไทยให้มีทักษะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินโครงการที่เน้นความร่วมมือกับภาคเอกชน

ตัวอย่างเช่น โครงการ Sandbox เพื่อผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ที่มหาวิทยาลัย 15 แห่งร่วมมือกับภาคเอกชน 8 ราย เปิดหลักสูตรใหม่ 5 หลักสูตร พร้อมจัดตั้งศูนย์พัฒนากำลังคนเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติอีก 3 แห่ง โดยตั้งเป้าผลิตบุคลากรกว่า 80,000 คน ภายใน 5 ปี นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัลควบคู่กันไป

การหารือในวันนี้ รัฐบาลได้เชิญผู้บริหารระดับสูงจาก 30 บริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ โดยทุกบริษัทมีการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มูลค่ารวมกว่า 5.5 แสนล้านบาท มีการจ้างงานรวมกว่า 53,000 ตำแหน่ง มาร่วมแลกเปลี่ยนและสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและการดำเนินธุรกิจในไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญนี้ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราร้อยละ 19

รัฐบาลมุ่งส่งเสริมและดึงดูดให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนกลไกทางเศรษฐกิจและสังคม สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการสร้างบุคลากรที่มีทักษะสอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ รวมถึงเกิดการถ่ายทอดความรู้และความช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตและการเพาะปลูกที่สอดคล้องกับมาตรฐานโลก เพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปต่างประเทศ 

นายอนุกูล กล่าวว่า ภายหลังการหารือกับนักลงทุนทั้ง 30 บริษัท รองนายกฯ ภูมิธรรม ได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ชั้นนำระดับโลก 6 ราย ซึ่งมีเงินลงทุนรวมกว่า 51,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรม โดยความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานทันที 1,880 อัตรา รวมกันไม่น้อยกว่า 3,000 อัตราภายใน 5 ปี เกิดการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาและภาคอุตสาหกรรม 

โครงการ VOC-UP เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และภาคเอกชน 6 ราย ได้แก่ บริษัท Wus Printed Circuit (Thailand) บริษัท Gold Circuit บริษัท Unimicron Thailand บริษัท Thai Xing บริษัท Starteam Global และ บริษัท KCE Electronics เพื่อพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษาเชิงรุก ผลิตกำลังคนทักษะสูงตรงตามความต้องการของตลาดอุตสาหกรรม 

โดยความร่วมมือดังกล่าวนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการจัดอาชีวศึกษาให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอุตสาหกรรม ตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเรียนสายอาชีพเพื่อการมีงานทำ โดยเน้นการเรียนรู้ด้วยการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี การฝึกอบรม Upskill – Reskill – New Skill รวมถึงการออกแบบหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตรงตามความต้องการของเศรษฐกิจใหม่

นอกจากนี้ โครงการความร่วมมือดังกล่าวยังเป็นการวางแผนกำลังคนเชิงรุกเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ทำให้เกิดการพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุน โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมด้านบุคลากร เพื่อให้การผลิตกำลังคนเป็นไปอย่างตรงจุด ตรงกลุ่มมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ที่ไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิต 1 ใน 5 ของโลก   

ความร่วมมือนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศแล้ว ยังเกิดการยกระดับการพัฒนาบุคลากรไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนระดับอาชีวศึกษา พร้อมยกระดับทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

“การลงทุนจากบริษัทระดับโลกเหล่านี้ จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโต สร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศหลายแสนล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังช่วยต่อยอดไปยังภาคเกษตรกรรม การศึกษา และธุรกิจท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม” นายอนุกูลกล่าว