Automotive info
Royal Enfield Custom Worldส่องรถ คัสตอมสุดเท่'Wheels & Waves2025'

กรุงเทพฯ 14 สิงหาคม 2568 – ความตื่นเต้นจาก "Royal Enfield Custom World" ในงาน Wheels & Waves Edition 14 ปี 2025 ยังไม่หมด! นอกจากสามคันแรกที่สร้างความประทับใจแล้ว ยังมีอีกสี่สุดยอดผลงานที่แสดงถึงฝีมืออันประณีตจากการร่วมมือกันระหว่างนักสร้างสรรค์และ Royal Enfield Custom World ที่พร้อมจะพาคุณดำดิ่งสู่โลกแห่งการคัสตอมที่ไร้ขีดจำกัด
หนึ่งในไฮไลท์ที่สร้างความฮือฮาคือ The Kingsman นอกจากชื่อสุดเท่ที่คุ้นหูกันแล้ว ยังเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ได้รับการรังสรรค์และสร้างด้วยมือโดยศิลปินชื่อดังอย่าง Dirk Oehlerking จาก Kingston Custom สตูดิโอในภูมิภาค Ruhr ของเยอรมนี ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักในนาม ‘City of a Thousand Fires’ เพราะเป็นแหล่งที่ตั้งโรงงานเหล็กจำนวนมาก สมกับเป็นบ้านของศิลปินที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ด้วยตนเองในโรงหล่อเก่า The Kingsman ถือกำเนิดขึ้นในการแข่งขัน 'Custom Build Challenge' ที่งาน Art of Machine ใน Malle Mile ปี 2024 โดยพวกเขาได้สร้างและแข่งมอเตอร์ไซค์ Malle Custom สุดยอดเยี่ยมจนได้รับรางวัล ทำให้ได้รับรถ Royal Enfield Shotgun และงบประมาณในการสร้างรถคัสตอมสำหรับงาน Wheels & Waves 2025
ชื่อของรถคันนี้มีแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ยอดนิยม "The Kingsman" มอเตอร์ไซค์คันนี้จึงถูกสร้างให้พร้อมสำหรับทุกการผจญภัยของสุภาพบุรุษ พร้อมอุปกรณ์เสริมที่หรูหราทั้งหมดที่จำเป็น เช่น กระจก, หวี, ที่เปิดขวด, ขวดจิน, โทนิก, ชุดช้อนส้อม และแม้แต่ร่ม ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ Kingsman โดดเด่นไม่เหมือนใคร
อีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจคือ MODERN PRIMITIVE ซึ่งเป็นหนึ่งในรถคัสตอมแรก ๆ ที่ใช้ Guerrilla 450 ตัวใหม่ โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ Sideburn Magazine นิตยสารการแข่งขัน Flat Track มาตั้งแต่ปี 2008 และเป็นที่รู้จักจากการสร้างสรรค์งานศิลปะและการออกแบบที่มีอิทธิพลต่อวงการอย่างกว้างขวาง แรงบันดาลใจหลักมาจากรถแข่งRoyal Enfield Sherpa FT ของ Gary Birtwistle และลายเพ้นท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรอยสักของ Steph Birtwistle นักแข่ง Flat Track คนดัง
ชื่อ "Modern Primitive" มาจากหนังสือที่มีอิทธิพลอย่างมากเกี่ยวกับรอยสักและการดัดแปลงร่างกายในยุค 1980s คำว่า Modern สื่อถึง Royal Enfield Guerrilla 450 ที่เป็นรถรุ่นใหม่ ส่วนคำว่า Primitive สื่อถึงการปรับโฉมให้เป็น Street Tracker ที่เรียบง่ายและแสดงออกถึงแก่นแท้ของรถมอเตอร์ไซค์มากยิ่งขึ้น ตัวถังและท้ายอะลูมิเนียมที่สร้างขึ้นใหม่โดย Coba Valley Cycles พร้อมงานเพ้นท์อันเป็นเอกลักษณ์ และเบาะหนัง Alcantara จาก Holy Goat ที่ทำให้รถคันนี้ดูดิบแต่ก็มีสไตล์อย่างไม่น่าเชื่อ
อีกคันที่สร้างสีสันให้กับงานคือ SM450 Urban Guerilla ผลงานความร่วมมือระหว่าง Sticky's Speed shop (ชื่อที่ใช้ในการออกแบบและกราฟิกของ Image Worx) และ Ryan Roadkill ผู้เป็นนักวาดภาพประกอบอิสระที่มีชื่อเสียง โดยทั้งสองได้รับแรงบันดาลใจจากความทรงจำในวัยหนุ่มที่อยู่กับ BMX, Krusty Demons และสเก็ต ทำให้ SM450 Urban Guerilla เป็นเหมือนการย้อนเวลากลับไปในปี 1997 ด้วยดีไซน์ที่เต็มไปด้วยพลังและเอกลักษณ์
ตัวรถถูกปรับแต่งอย่างดุดันด้วยการใช้ซับเฟรมและจุดยึดระบบกันสะเทือนด้านบนจาก YZ125 ปี 1987 พร้อมสวิงอาร์มแบบ Billet ที่ผลิตโดย Steelheart engineering ระบบกันสะเทือนด้านหน้าใช้โช้ค WP RWU และโช้คหลัง Ohlins ที่ทำขึ้นพิเศษ บอดี้เวิร์คเป็นถังน้ำมันอะลูมิเนียมสั่งทำพิเศษโดย Coba Valley รวมถึงแผงข้างและเบาะนั่งจาก YZ125 ที่นำมาปรับทรงใหม่ พร้อมด้วยกราฟิกและลายเพ้นท์แบบคัสตอมที่สะท้อนถึงตัวตนของผู้สร้างได้อย่างชัดเจน ท่อไอเสียทำจากสแตนเลสและท่อไอเสียแบบ Race Can ที่สร้างขึ้นเองก็ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับรถคันนี้
และรถคันสุดท้ายคือ FURY 650 สร้างสรรค์โดย Fuel แบรนด์ไลฟ์สไตล์จากบาร์เซโลนาที่โด่งดังจาก Scramblers และ Cafe Racers ที่เป็นเอกลักษณ์ Karles Vives ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Fuel Motorcycles ได้รับแรงบันดาลใจในการผลักดัน Royal Enfield Bear 650 ใหม่ ให้ถึงขีดจำกัดของศักยภาพ Off-Road ด้วยความหลงใหลในการผจญภัยที่เต็มเปี่ยม โปรเจกต์นี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ Eddie Mulder แชมป์การแข่งขัน Big Bear Run ในตำนานปี 1960 และสร้างรถที่สามารถพิชิตทะเลทรายได้เหมือนกับรถที่ใช้แข่ง Baja 1000 ในยุค 90s สมรรถนะคือสิ่งสำคัญสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพ Off-Road ทำให้ Fuel อัปเกรดส่วนสำคัญต่างๆ เช่น ล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว, ระบบกันสะเทือนที่ระยะยุบยาวขึ้น, ระบบนำทาง และไฟหน้าคู่FURY 650 ใช้ Royal Enfield Bear 650 เป็นพื้นฐาน ล้อหน้าเปลี่ยนเป็น 21 นิ้ว พร้อมยาง Mitas Dakar 6 ส่วนล้อหลัง 17 นิ้ว
บอดี้เวิร์คออกแบบใหม่ทั้งหมด เบาะหุ้ม Alcantara กันน้ำ เย็บตะเข็บสีแดง บังโคลนหลังไฟเบอร์กลาส ปั้นจากแม่พิมพ์ดินเหนียว ส่วนบังโคลนหน้าของ Enduro ปรับเข้ากับมุมและระยะรถ แผ่นป้ายหมายเลขด้านข้างเป็นแบบดั้งเดิม เพิ่มกราฟิกหมายเลข Eddie Mulder เพื่อรำลึก Big Bear Run จุดเด่นอีกอย่างคือไฟหน้าคู่ที่ช่วยส่งลุคสุดเท่และสามารถแข่งกลางคืนได้ พร้อมระบบนำทาง GPS Roadbook, มาตรวัดระยะทาง, รอบ, ความเร็ว และปุ่มสั่งการ Motogadget ขนาดเล็กสำหรับข้อมูลสำคัญ ซึ่งงานทั้งหมดนี้ต้องเดินสายไฟใหม่ทั้งคัน
Royal Enfield ในฐานะแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตมอเตอร์ไซค์ที่เปิดกว้างสำหรับการคัสตอมมากที่สุดในโลก ได้นำสุดยอดผลงานที่ "ดีที่สุดของที่สุด" มาให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชื่นชมในเทศกาลเพื่อ ตอกย้ำว่างาน Wheels & Waves คือบ้านของความหลงใหลในรถคัสตอมอย่างแท้จริง และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักบิดและนักสร้างสรรค์ทั่วโลก!