Biz news
ORIโชว์ไตรมาส2ปี68รายได้3.2พันล้าน ดัน Backlogแกร่งQ3/68โอนคอนโดอีก

กรุงเทพฯ-ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 กวาดรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้นกว่า 3,610 ล้านบาท กำไร 319 ล้านบาท เพิ่มขึ้นQoQ กว่า 3 เท่า ขณะที่ยอดขายบ้าน-คอนโดฯ สะสม 6 เดือนแรกรวมอยู่ที่ 14,049 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปี พร้อมโชว์ยอด Backlog ในมือกว่า 43,336 ล้านบาท สร้างรายได้ต่อเนื่อง 5 ปี เดินหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปี เร่งเครื่องเปิดขายโครงการใหม่ควบคู่โครงการพร้อมอยู่ Q3/2568 จ่อโอนกรรมสิทธิ์คอนโดเพิ่มอีก 4 โครงการ แบ็คล็อคกว่า 4,000 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม (รวมโครงการ JV) ทั้งสิ้นกว่า 3,610 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการที่บริษัทฯพัฒนา (Non-JV) 2,190 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน (JV) 1,420 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 จำนวน 319 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ทั้งนี้บริษัทฯ มียอดขาย (Presale) ครึ่งปีแรก กว่า 14,049 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปี แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ORIGIN VERTICAL ประมาณ 81% จำนวน 11,434 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรภายใต้แบรนด์ BRITANIA ประมาณ 19% จำนวน 2,615 ล้านบาท ซึ่งยอดขายดังกล่าวมาจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 57% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เปิดขายใหม่ (New Launch) และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) รวมกันประมาณ 43 %
โดยในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ประกอบด้วย GRAND BRITANIA กรุงเทพกรีฑา-สุวรรณภูมิ, BRITANIA บางแสน อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ในการหาช่องทาง/กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้น เช่น (1.) ตลาดต่างชาติเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็น 2nd home (2.) Big lot สำหรับกลุ่ม Corporate / นักลงทุน (3.) กลุ่มนักลงทุน ที่มีความสนใจคอนโดฯเพื่อการลงทุน (4.) กลุ่มลูกค้าที่ต้องการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ โดยในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ ได้โอนกรรมสิทธิ์บิ๊กล็อต โครงการ “Origin Plug & Play E22 Station” ให้กับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA กว่า 278 ยูนิต นับเป็นความสำเร็จ ที่สะท้อนถึงความไว้วางใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง DELTA และสะท้อนถึงโอกาสของตลาดที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน ที่ตอบโจทย์ตลาดแบบ B2B นอกจากนี้บริษัทฯ สามารถปิดดีลขายพื้นที่รีเทล โซน 10th Avenue แบบเหมาชั้น มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ในโครงการ “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์” ให้ นายอังเดร คู (Andre Koo) มหาเศรษฐีแห่งไต้หวัน เจ้าของ Chailease Group ธุรกิจลีสซิ่งยักษ์ใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชีย ที่ขยายธุรกิจมายังอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย การขายบิ๊กล็อตในครั้งนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งโครงการ ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ โครงการอสังหาฯ ในรูปแบบ Freehold Mixed-Use มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,000 ล้านบาท ที่พร้อมปั้นโซนรีเทล 10th Avenue ให้เป็นศูนย์รวมร้านอาหารระดับโลกบนทำเลใจกลางทองหล่อ
ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 บริษัทมี Backlog รวมทั้งสิ้นกว่า 43,336 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 5 ปี และมีโครงการคอนโดฯที่เสร็จใหม่และเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ ในช่วงไตรมาส 3/2568 อีก 4 โครงการ คือ ดิ ออริจิ้น เพลส บางนา, ดิ ออริจิ้น บางแค, ดิ ออริจิ้น พหล57, เดอะ แฮมป์ตัน สวีท ระยอง โดยมี Backlog ในส่วนของคอนโดฯ 4 โครงการ ดังกล่าวแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันมีธุรกิจโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง และอีก 3 แห่งจะเปิดใหม่ในปี 2568 นี้ โดย 2 แห่งเป็นการ Re-opening โรงแรมที่ acquire มาเมื่อปี 2566 ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ตและเชียงใหม่ และอีก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ กลุ่มบริษัทฯ สามารถยกระดับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน รวมถึงสามารถดำเนินกลยุทธ์ในการขายโรงแรมในราคาที่สอดคล้องกับศักยภาพของทรัพย์สินได้ตามแผนธุรกิจ
ซึ่งล่าสุดกลุ่มบริษัทฯ ได้ปิดดีล ขายหุ้นโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท ทั้งหมดที่ถืออยู่ 51% ให้กับ Ci:z Technologies บริษัทที่ประกอบธุรกิจด้าน Nursing Home การพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพยาบาลและสวัสดิการ และอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจให้คําปรึกษาและธุรกิจเสริมอื่นๆ ในเครือ Ci:z Holdings Co., Ltd. ยักษ์ใหญ่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับสุทธิ (Extra Cash) เพิ่มขึ้นกว่า 800 ล้านบาท และสามารถรับรู้กำไรได้ในรอบ ไตรมาส 3 ปี 2568 ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับศักยภาพการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การบริหารพอร์ตสินทรัพย์ระยะยาวได้อย่างเหมาะสม ตามแผนธุรกิจของบริษัทร่วมทุน
ส่วนธุรกิจคลังสินค้า (Warehouse) ปัจจุบันมี 9 โลเคชั่นในทำเลยุทธ์ศาสตร์สำคัญ ได้แก่ ทำเลรังสิต, บางนา กม.22, บางนา กม.19, บางนา กม.23, แหลมฉบัง, พานทอง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมพื้นที่กว่า 410,744 ตารางเมตร ซึ่ง ณ ไตรมาส 2/2568 มีพื้นที่เปิดดำเนินการแล้วกว่า 311,850 ตารางเมตร มีอัตราการเช่า 95% ตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 1 ล้านตารางเมตร ตามแผนการดำเนินธุรกิจ