Think In Truth

ยกระดับจิตวิญญาณ: เส้นทางสู่อริยะสังคมในยุคศิวิไลซ์   โดย: ฟอนต์ สีดำ



การทำความเข้าใจสภาวะจิตใจของมนุษย์ในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น ถือเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคที่ความขัดแย้งและปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพยายามที่จะหลอมรวมความเชื่อจากศาสนาต่างๆ เป็นหนึ่งเดียวนั้น จงเกิดแนวคิดถึงการจำแนกพัฒนาการทางด้านจิตใจของมนุษย์ออกมาเป็นมิติ ซึ่งขอใช้แนวคิดของความเชื่อในกลุ่มกาแล็คติก ที่แบ่งสภาวะจิตของมนุษย์ออกเป็น 12 มิติ ในบทความนี้ขอเขียนถึงการยกระดับจากมิติที่ 3 สู่มิติที่ 5 ซึ่งเป็นแนวคิดของบุคคลทั่วไปของโลก ที่เป็นแนวคิดที่น่าสนใจอย่างยิ่งในฐานะเครื่องมือทางปัญญาที่จะนำพาชีวิตและสังคมไปสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริง

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจน จึงขอนำเสนอภาพรวมของคุณลักษณะของบุคคลในมิติที่ 3, 4, และ 5 โดยใช้หลักการทางปรัชญาและหลักพุทธธรรมมาเป็นกรอบการวิเคราะห์ ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาตนเองกับการสร้างสรรค์สังคมได้อย่างเป็นระบบ

คุณลักษณะของบุคคลในแต่ละมิติ

  • มิติที่ 3: สังคมแห่งความอยาก (Greed-based Society) บุคคลในมิตินี้ใช้ชีวิตตามแรงขับเคลื่อนของ กิเลส หรือความอยากได้ใคร่มีเป็นหลัก ยังไม่ตระหนักถึงเหตุและปัจจัยที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น ส่งผลให้สังคมอยู่ในสภาวะของการแข่งขัน แย่งชิง และขาดความเห็นอกเห็นใจกัน
  • มิติที่ 4: สังคมแห่งการแสวงหา (Seeking Society) บุคคลในมิตินี้เริ่มรับรู้ถึงปัญหาหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้น และหันกลับมาพิจารณาถึงเหตุและปัจจัยเหล่านั้น เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อหาคำตอบของชีวิต
  • มิติที่ 5: สังคมแห่งปัญญา (Wisdom-based Society) บุคคลในมิตินี้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทุกสิ่งล้วนมีเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างสงบ สันติ และไม่สร้างปัจจัยแห่งปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก ในทางพุทธศาสนา สภาวะนี้อาจเรียกได้ว่า นิพพาน คือการดับความสงสัยและความทุกข์ทั้งปวง

ตารางเปรียบเทียบคุณลักษณะของมิติที่ 3 – มิติที่ 5

มิติ

คุณลักษณะหลัก

สภาพจิตใจ

วิธีคิดและการรับรู้

พฤติกรรมเด่น

เป้าหมายการพัฒนา

มิติที่ 3

ดำรงชีวิตตามกิเลสและความต้องการส่วนตน

ยึดติดวัตถุและความสำเร็จภายนอก

ไม่ตระหนักถึงเหตุและปัจจัยของปัญหา

แข่งขัน แย่งชิง ขาดเมตตา

เริ่มปลูกฝังความเป็น “ผู้ให้” ผ่านการทำทาน

มิติที่ 4

เริ่มตระหนักถึงเหตุแห่งทุกข์

มีความสำนึกในการแก้ปัญหา

ศึกษาเหตุและปัจจัยของสิ่งที่เกิดขึ้น

ให้ความสำคัญกับทาน ศีล และภาวนา

พัฒนาสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นด้วยศีล สมาธิ และปัญญา

มิติที่ 5

เข้าใจเหตุและปัจจัยอย่างถ่องแท้

จิตใจสงบ สันติ ปราศจากข้อสงสัย

คิดและแก้ปัญหาบนพื้นฐานของปัญญาบริสุทธิ์

ดำรงชีวิตด้วยสันติสุข ไม่สร้างเหตุซ้ำ

รักษาสภาวะและพัฒนาบารมี 30 ทัศเพื่ออยู่เหนืออำนาจมาร

เส้นทางการยกระดับจิตใจจากมิติที่ 3 สู่มิติที่ 4

การเปลี่ยนผ่านจากสังคมแห่งความอยากไปสู่สังคมแห่งการแสวงหาเริ่มต้นจากการปลูกฝังคุณธรรมพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่ ทาน ศีล และภาวนา

  • ทาน: คือการให้และแบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือความช่วยเหลือ การให้เป็นจุดเริ่มต้นของการละวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทำให้ผู้ให้และผู้รับได้ฝึกฝนจิตใจให้เกิดความรักและเมตตา
  • ศีล: คือการระลึกถึงแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ทั้งทางความคิด (สัมมาสังกัปปะ) คำพูด (สัมมาวาจา) และการกระทำ (สัมมากัมมันตะ) เป็นการฝึกฝนจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อควบคุมพฤติกรรมไม่ให้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
  • ภาวนา: คือการฝึกฝนจิตใจให้ระลึกถึงการกระทำที่ดีอย่างต่อเนื่อง หมั่นทบทวนตนเองอยู่เสมอว่า "คิดดีแล้วหรือยัง? พูดดีแล้วหรือยัง? ทำดีแล้วหรือยัง?" เพื่อให้การปฏิบัติเหล่านี้เป็นปกติวิสัย

เมื่อบุคคลสามารถฝึกฝนตนเองตามหลักเหล่านี้ได้ ถือได้ว่าเป็นการก้าวสู่มิติที่ 4 ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การพัฒนาจิตวิญญาณในระดับที่สูงขึ้น

การพัฒนาจากมิติที่ 4 สู่มิติที่ 5 ด้วยอริยสัจ 4

บุคคลในมิติที่ 4 ที่พร้อมจะก้าวสู่มิติที่ 5 จำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการเรียนรู้เชิงลึกที่เรียกว่า วิทยปรัชญา (Philosophy of Science) ซึ่งเป็นการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณ (รูป) และเชิงคุณภาพ (นาม) หรือในทางปฏิบัติคือการฝึกฝนตนเองด้วยหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา และพัฒนาการคิดแบบ อริยสัจ 4

  • ทุกข์ (ปัญหา): เริ่มจากการมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
  • สมุทัย (ต้นเหตุ): วิเคราะห์หาต้นตอและปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหานั้น ๆ เพื่อตั้งเป็นสมมติฐาน
  • นิโรธ (การดับทุกข์): นำสมมติฐานไปทดลองปฏิบัติ ทบทวน และไตร่ตรองอย่างมุ่งมั่นจนกว่าจะได้คำตอบที่ทำให้ปัญหาคลี่คลาย
  • มรรค (หนทาง): ยึดถือแนวทางปฏิบัติ 8 ประการ หรือ มรรค 8 (ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, และ สัมมาสมาธิ) เป็นมาตรฐานในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

เมื่อบุคคลสามารถใช้กระบวนการคิดแบบอริยสัจนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ จะทำให้เกิด ปัญญา ที่เป็นแก่นแท้ นำพาตนเองไปสู่ความสงบสุขและสามารถก้าวเข้าสู่มิติที่ 5 ได้ในที่สุด

การดำรงตนในมิติที่ 5: พลังแห่งบารมี 30 ทัศ

การดำรงตนให้อยู่ในมิติที่ 5 อย่างมั่นคง และสามารถยกระดับให้สูงขึ้นไปอีกได้นั้น จำเป็นต้องมีเครื่องมือในการเอาชนะอุปสรรคหรือ "มาร" ซึ่งในทางพุทธศาสนาและจักรวาลวิทยาระบุไว้ว่าเป็นพลังงานด้านมืด เครื่องมือดังกล่าวคือการฝึกฝนตนเองให้เกิด บารมี 30 ทัศ

บารมีประกอบด้วยคุณธรรม 10 ประการ ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขา การฝึกฝนคุณธรรมเหล่านี้ในระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง จะช่วยเสริมสร้างพลังจิตวิญญาณให้แข็งแกร่ง จนสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ และรักษาคุณสมบัติของบุคคลในมิติที่ 5 ไว้ได้อย่างยั่งยืน

ตารางขั้นตอนการพัฒนาและเครื่องมือที่ใช้ในแต่ละมิติ

ขั้นตอนการพัฒนา

จากมิติที่ 3 → มิติที่ 4

จากมิติที่ 4 → มิติที่ 5

การคงอยู่ในมิติที่ 5 และยกระดับสูงขึ้น

เป้าหมาย

เปลี่ยนจากผู้รับเป็นผู้ให้

ก้าวสู่ความเข้าใจเหตุและปัจจัยอย่างลึกซึ้ง

รักษาสภาวะจิตที่สงบ สันติ และเพิ่มบารมี

วิธีการ/แนวปฏิบัติหลัก

- ฝึก ทาน: การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
- ส่งเสริมความเมตตาและการช่วยเหลือผู้อื่น

- ฝึก ศีล: คิดดี พูดดี ทำดี
- ฝึก สมาธิ: จดจ่อและตั้งมั่นในปัญหา
- ฝึก ปัญญา: ใช้เหตุผลค้นหาความจริง

- ฝึก บารมี 30 ทัศ: ทาน, ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา, อุเบกขา

เครื่องมือสำคัญ

- กิจกรรมการให้และแบ่งปัน
- การสร้างเครือข่ายผู้ให้

- กระบวนการ อริยสัจ 4
- มรรคมีองค์แปด
- การภาวนาและใคร่ครวญตน

- การทำกรรมดีทั้ง มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม
- การเว้นกรรมชั่วทั้งสาม

ตัวชี้วัดความสำเร็จ

- ผู้คนเริ่มช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสมัครใจ
- เกิดความพึงพอใจจากการให้

- สามารถหาสาเหตุและแก้ปัญหาได้ด้วยสันติวิธี
- ลดความสงสัยและความทุกข์

- ดำรงชีวิตด้วยปัญญาและสันติสุข
- ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจ “มาร”

ผลลัพธ์

เริ่มก้าวเข้าสู่มิติที่ 4

บรรลุมิติที่ 5

คงอยู่และพัฒนาสู่มิติที่สูงกว่า

โดยสรุปแล้ว เส้นทางการยกระดับจิตวิญาณจากมิติที่ 3 สู่มิติที่ 5 คือการเดินทางทางจิตวิญญาณที่เริ่มต้นจากความเข้าใจตนเอง พัฒนาไปสู่การเรียนรู้และแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา และสุดท้ายคือการดำรงตนด้วยคุณธรรมอันเป็นบารมี เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมให้เจริญงอกงามอย่างแท้จริง หนึ่งหน่วยชีวิตที่ถูกยกระดับจิตวิญญาณขึ้นถึงระดับ มิติที่ 5 ถือได้ว่าเป็นอิรยะชน หากหลายๆ คนถูกพัฒนายกระดับจิตวิญญาณขึ้นถึงมิติที่ 5 ก็จะเรียนว่า สังคมอริยะ กรอบแห่งสังคมในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ ก็จะกลายเป็นธรรมาภิบาล สังคมแห่งอริยะที่มีการปกครองสังคมแบบธรรมาธิปไตย ก็จะเป็นสังคมแห่งความศิวิไลซ์ ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ เราจึงควรร่วมกันสร้างสังคมแห่งอริยะ เพื่อให้เกิดการปกครองแบบธรรมาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวทางในการผลักดันสังคมก้าวสู่ยุคศิวิไลซ์อย่างที่เราวาดฝัน

แหล่งอ้างอิง:

  • หลักธรรมในพระพุทธศาสนา (อริยสัจ 4, มรรค 8, บารมี 10 ทัศ)
  • แนวคิดเชิงปรัชญาและจักรวาลวิทยา
  • ประสบการณ์และการตีความของผู้เขียน