Travel Sport & Entertain

สืบสานสร้างสรรค์พลังใน'ทุนวัฒนธรรม'  สู่เศรษฐกิจยั่งยืนโดยบพท.



กรุงเทพฯ-เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้จัดพิธีเปิดงานมหกรรมทุนวัฒนธรรม National Cultural Symposium “สืบสาน สร้างสรรค์พลังทุนวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจยั่งยืน” The Power of Culture: Driving to Economic Sustainability ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงาน อว. FAIR Creatures of Tomorrow 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   โดย ดร.วศิน โกมุท หัวหน้าโครงการ “บริหารชุดโครงการจัดการทุนทางวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและสำนึกท้องถิ่น ปี 2567” กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างหน่วย บพท. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เครือข่ายมหาวิทยาลัย และชุมชนทั่วประเทศ ภายใต้ชุดโครงการจัดการทุนวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ ชุมชน และสำนึกท้องถิ่น ที่มีการขับเคลื่อนงานต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน

“จากการดำเนินงานภายใต้กรอบวิจัยดังกล่าวตั้งแต่ปี 2564 -2567 หน่วย บพท. ได้สนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมจำนวน 117 โครงการ ครอบคลุมมหาวิทยาลัย 67 แห่งทั่วประเทศ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมสามารถเชื่อมโยงทุนวัฒนธรรมกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับพื้นที่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการทางวัฒนธรรม 1,190 รายการ พื้นที่วัฒนธรรม 316 แห่ง ผู้ประกอบการวัฒนธรรม 2,028 ราย เทศกาลวัฒนธรรม 23 พื้นที่ นวัตกรวัฒนธรรม 442 ราย และ 252 นวัตกรรม”

ทั้งนี้ หน่วย บพท. ได้มีการขับเคลื่อนงานวิจัย “การจัดการทุนทางวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและสำนึกท้องถิ่น” โดยมีเป้าหมายในการยกระดับผู้ประกอบการ ให้มีขีดความสามารถในการพัฒนาสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและวัฒนธรรมจนสามารถก่อให้เกิดรายได้แก่คนในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีการสร้างจิตสำนึกให้คนในท้องถิ่นเกิดการอนุรักษ์วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีในพื้นที่ไม่ให้สูญหาย โดยอาศัยการทำงานของหน่วยงานเครือข่ายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งประกอบด้วยมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย ทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ทำงานกันเป็นเครือข่ายร่วมกับภาคประชาสังคมภาคเอกชน และหน่วยส่งเสริมชุมชนของกระทรวงอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) การขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมผ่านกลไกการทำงานของสถาบันอุดมศึกษาตามพันธกิจที่ 4 ของสถาบันอุดมศึกษา ด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ตามพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 และ 2) การขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมผ่านภาคประชาสังคม ผ่านประชาคมวัฒนธรรมในพื้นที่ด้วยการกำหนดกติกา และกลไกความร่วมมือในการสร้างพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

โดย ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ที่ปรึกษาการขับเคลื่อนวิทยสถาน "ธัชภูมิ" เพื่อการพัฒนาพื้นที่ ให้เกียรติในการเปิดงานครั้งนี้ โดยกล่าวว่า “ทุนวัฒนธรรม” เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติและเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ซึ่งมีการหลอมรวมความแตกต่างทางวัฒนธรรม โดยประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก สังเกตได้จากตระกูลภาษาประมาณ 90 ตระกูล สามารถอยู่ร่วมกันได้บนความแตกต่างด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย และเครื่องมือเหล่านั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านความเชื่อ ภูมิปัญญา ศิลปะ วิถีชีวิต สถาปัตยกรรม เรื่องเล่า เพลงบอก นิทาน การละเล่น และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังคำคมของพระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) ที่ได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกจากยูเนสโกในปี 2531 ที่เคยกล่าวว่า ‘ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก คือ บ่อเกิดของวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน’ เพราะฉะนั้น ในโอกาสที่เราได้รับชมการแสดง หรือศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ จึงอยากให้ลองสังเกตเรื่องราวเหล่านั้นว่า กำลังสะท้อนความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกใดของคนกลุ่มนั้น ๆ ออกมาบ้าง ซึ่งหากเราสามารถเข้าใจและเห็นคุณค่าที่แฝงอยู่ ก็จะรู้วิธีที่จะดึงพลังเหล่านั้นขึ้นมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้ในอีกหลายมิติ นั่นคือจุดมุ่งหมายที่สำคัญของการดำเนินงานวิจัยด้านการจัดการทุนทางวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและสำนึกท้องถิ่น

“การจัดการทุนทางวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและสำนึกท้องถิ่น ทำให้เราเห็นโอกาสใหม่ของการยกระดับสถานภาพของประเทศไทย ไม่เพียงเฉพาะด้านเศรษฐกิจ แต่ในสายตาของประชาคมโลกด้วยฐานทุนวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ดังนั้นงานวิจัยจึงเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์มากในการฟื้นคุณค่าที่มีอยู่เดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายในประเทศไทยให้กลับคืนมา พร้อมทั้งการยกระดับและการสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งการขับเคลื่อนงานของมหาวิทยาลัยทั้ง 67 แห่งทั่วประเทศ ทำให้เห็นว่าประชาคมวิจัย ประชาคมของกระทรวง อว. โดยสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศสามารถเข้ามามีบทบาทได้มากเพียงใดในการฟื้นคุณค่าและเพิ่มมูลค่าให้กับทุนทางวัฒนธรรมของประเทศ โดยสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ซึ่งสำคัญที่สุดคือ ชุมชนที่เป็นเจ้าของและร่วมขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมของตัวเอง” ดร.สีลาภรณ์ กล่าว

ทางด้าน ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างเศรษฐกิจสังคมของหน่วย บพท. ด้วยระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ว่า การเดินทางที่ผ่านมาของ บพท. ถือว่าสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง ทั้งในเรื่อง Soft Power การผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การผลักดันวัฒนธรรมเศรษฐกิจที่มาจากฐานทุนวัฒนธรรมซึ่งเป็น Agenda ใหญ่ของประเทศ แต่แน่นอนว่ายังมีเรื่องที่ต้องขบคิดและทำต่อ ประเด็นที่ 1 การนำฐานทุนวัฒนธรรมไปสู่วัฒนธรรมสร้างรายได้อย่างมีทิศทางและกระบวนทัศน์ สามารถสร้างสำนึกรักท้องถิ่น เนื่องจากปัจจุบันเราอยู่ในสภาวะวิกฤตทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การ Disruption ทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ วิกฤตที่เกิดจากสงครามการค้าและสงครามที่จะเกิดขึ้นจริง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องหันกลับมามองสิ่งที่มีอยู่ในประเทศของตัวเอง สิ่งนั้นคือ ฐานทุน (Social Capital) ที่ลึกที่สุดและนำไปสู่วิถีชีวิต นำไปสู่รากเหง้าซึ่งเป็นที่มาที่ไปของชาติพันธุ์หรือชนชาติเรา นั่นก็คือ “ฐานทุนวัฒนธรรม”

ดังนั้น หน่วย บพท. จะเดินทางต่อโดยขบคิดเรื่อง ‘แก่น’ ‘ใจ’ หรือ ‘ราก’ ให้ลึกขึ้น เพราะกว่าเราจะค้นหาเจอรากเหง้า วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ และกว่าจะนำมาเสนอเป็นชุดการแสดง เป็นผลิตภัณฑ์จากฐานทุนวัฒนธรรมเหล่านี้มีผู้เล่นคือ ประชาคมวัฒนธรรมและผู้ประกอบการทางวัฒนธรรม แต่สำคัญ คือ “เมื่อนำไปสู่การนำเสนอและสร้างมูลค่าใหม่หรือสร้างมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถย้อนกลับมารักษารากเหง้าได้หรือไม่ นี่คือแก่นที่ต้องขบคิด เพราะหากเราสร้างวัฒนธรรมรายได้แล้วไม่ย้อนกลับมาอนุรักษ์หรือรักษา เราอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการทำลายวิถีชีวิตของบ้านเมืองเอง นี่คือข้อควรระวัง”

ประเด็นที่ 2 หน่วย บพท. จะร่วมมือกับเครือข่ายวิชาการ เครือข่ายท้องที่ ท้องถิ่น ทำให้ใหญ่ขึ้นในทาง Learning Curve และทางรูปธรรม เราไม่อยากเห็นเพียงผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมมาสร้างผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม แต่เราอยากเห็นตลาดวัฒนธรรม ย่านวัฒนธรรม และเมืองวัฒนธรรมที่มีจิตวิญญาณของประวัติศาสตร์ เพราะคงไม่มีบ้านเมืองใดที่มีทั้งการเชิดสิงโต การละหมาด และทำวัตรเย็นอยู่ในถนนเส้นเดียวกัน เหล่านี้เป็นความสวยงามของการผสมกลมกลืนวัฒนธรรมที่คงรักษาตัวตนของตัวเองไว้ เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณของบ้านเมืองยังคงอยู่ร่วมกับการพัฒนาไปข้างหน้าได้ด้วยจิตวิญญาณของผู้คนที่รวมกันเป็นบ้านเมืองของเรา รวมเป็นประเทศ และรวมเป็นโลกใหม่ที่มีทุกคนอยู่ในนั้น ไม่ใช่โลกที่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“หากชาติใดไร้ราก ไร้วัฒนธรรม ก็เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้รากเหง้า ย่อมโดนโค่นและเสื่อมสลายไปตามพลวัตของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพลวัตของการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันนั้นใหญ่มาก และรับมือได้ด้วยความรู้เท่านั้น จึงเป็นบทบาทของสถาบันการศึกษา และเป็นบทบาทของกระทรวง อว. ในการสร้างวัฒนธรรมแห่งความรู้ วัฒนธรรมสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยความรู้ และวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ ทั้งนี้ หน่วย บพท. จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนผลักดันงานนี้ต่อในทิศทางที่ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน โดยมีภารกิจสำคัญในการสร้างกระบวนทัศน์สำหรับผู้ที่ก้าวตามมา สิ่งสำคัญคือ คนสร้างวัฒนธรรม วัฒนธรรมสร้างวิถีชีวิต และใน 5 - 10 ปีต่อจากนี้ เราจะมาพิสูจน์ร่วมกันว่าวัฒนธรรมเหล่านี้คือ วัฒนธรรมที่สร้างชาติ” ดร.กิตติ กล่าวทิ้งท้าย