Travel Sport & Entertain
'ทัศศาปันกัน'SEรุ่นใหม่หนุน'โคมล้านนา' กระชับความเหลื่อมล้ำคนในเชียงใหม่

เชียงใหม่-เชื่อว่านักท่องเที่ยวที่มาเชียงใหม่ส่วนมากคงต้องการมาสัมผัสเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และเสน่ห์ที่แท้จริงของเมืองเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต ประเพณี หรืออาหารการกิน มากกว่าความเจริญรุ่งเรืองสมัยใหม่ แต่ในขณะที่เมืองโตเร็วเข้าโอบล้อมชุมชนดั้งเดิม ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น คนในชุมชนจึงประสบปัญหาเรื่องรายได้ และค่าใช้จ่าย ตลอดจนการเข้าถึงโอกาสหรือบริการใหม่ ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้นหากชุมชนหรือผู้ประกอบการไม่ปรับตัวก็อาจจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ทางด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุบัน พรเวียง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการ “พัฒนาศักยภาพทางธุรกิจและการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โคมล้านนา สำหรับผู้ประกอบการในตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ปี 2” ร่วมกับ กรอบการวิจัย “การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่ (Local Enterprises) บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่น เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่” ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า เรื่องปากท้องของผู้คนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาในทุกมิติ “สิ่งสำคัญคือการพลิกสิ่งที่เป็นอาชีพ หรือวิถีเดิมที่ทำอยู่ให้เป็นเทรนด์ใหม่และเกิดการปรับตัวโดยใช้ฐานทุนที่มี” ซึ่งโครงการนี้ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการทำโคมประเพณีในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากโดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลท่าศาลา เนื่องจากโคมมีความเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรม ความศรัทธา และวิถีชีวิตดั้งเดิม ดังนั้นโจทย์สำคัญจึงเป็นการยกระดับอาชีพนี้ให้สามารถหล่อเลี้ยงทุกชีวิตในห่วงโซ่การทำโคมให้อยู่รอดได้ในสังคมเมืองที่โตเร็วและมีความเหลื่อมล้ำสูง ทั้งยังเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้นรูปแบบอาชีพเดิม ๆ ที่ทำอยู่ โดยเฉพาะการทำมากได้น้อย ก็อาจต้องเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาให้เป็นการทำน้อยแต่ได้มากขึ้น ผ่านการแก้ Pain Point หลัก ๆ 3 ด้าน คือ ศักยภาพของผู้ประกอบการ คุณภาพผลิตภัณฑ์ และการตลาดในรูปแบบใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการจะมีรายได้จากการทำโคมเพียง 3 เดือนต่อปีเท่านั้น คือเทศกาลลอยกระทงในช่วงประเพณียี่เป็ง หรือประเพณีเดือนยี่ ซึ่งคนจะนิยมบูชาหรือถวายโคมโดยเชื่อว่าจะนำแสงสว่างมาสู่ชีวิต การงาน และการเรียน เปรียบเสมือนเครื่องรางของล้านนา ดังนั้นหนึ่งเป้าหมายสำคัญของโครงการนี้ คือการทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้จากโคมตลอดทั้งปี โดยทีมวิจัยเชื่อมโยงความร่วมมือกับวัด 5 แห่งในเมืองเชียงใหม่ ได้แก่ วัดดอนจั่น วัดยางกวง วัดล่ามช้าง วัดศรีดอนไชย และวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ร่วมกันออกแบบโคมมงคลขึ้นใหม่จากอัตลักษณ์ดั้งเดิมของแต่ละวัด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ/รูปทรง ลวดลาย วัสดุ สีสัน และการให้คุณค่าความหมาย พร้อมทั้งจัดพื้นที่ภายในวัดให้มีซุ้มบูชาและแขวนโคมมงคล สำหรับให้นักท่องเที่ยวหรือผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบูชาโคมมงคลที่วัดได้ตลอดทั้งปี
โดยสำคัญที่สุดคือการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการและกลุ่มผู้ผลิตโคมในชุมชนต่าง ๆ และโรงเรียนที่เป็นเครือข่ายของวัดในเมืองเชียงใหม่ บางคนทำเป็นอาชีพหลัก บางคนทำเป็นอาชีพเสริม แต่กว่าจะเป็นโคม 1 ลูก ต้องผ่านหลายขั้นตอน มีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นเพื่อยกระดับห่วงโซ่ธุรกิจโคมมงคลให้ได้อย่างยั่งยืน จึงพัฒนา “บริษัท ทัศศา ปันกัน” กลไกสำคัญที่จะทำหน้าที่เป็นข้อต่อระหว่างผู้ประกอบการในการค้นหา Demand - Supply ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยทำหน้าที่ 2 ส่วนคือ ดูแลความต้องการของผู้ซื้อโดยเชื่อมโยงกับทั้ง 5 วัด พร้อมทั้งดูแลการผลิตโคมให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดร่วมกันหรือตามที่ออกแบบไว้ โดยรูปแบบของโคมมงคลที่ออกแบบร่วมกับแต่ละวัดนั้นจะแตกต่างกันไป ดังนั้นบริษัท ทัศศา ปันกัน จะจัดการกระจายออเดอร์การผลิตไปยังผู้ประกอบการให้ทั่วถึงตามความสามารถของแต่ละชุมชนเพื่อสร้างดุลการค้าและลดการแข่งขันในพื้นที่ พร้อมทั้งจัดสรรออเดอร์การผลิตส่วนหนึ่งไปยังโรงเรียนเครือข่ายอีกด้วย ทั้งนี้ผู้มีจิตศรัทธายังสามารถฝากถวายหรือบูชาโคมมงคลกับทัศศาทางออนไลน์ ได้ที่ Facebook: ทัศศา – Tassa ตลอดทุกวัน 24 ชั่วโมง ซึ่งจะมีทีมงานทัศศาทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำโคมมงคลไปแขวนยังวัดต่าง ๆ นอกจากนั้นทัศศายังเชื่อมโยงตลาดใหม่ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการโคม โดยเชื่อมโยงกับธุรกิจโรงแรม อาทิ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ และโรงแรมอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากเข้าพัก ทั้งในการรับทำโคมประดับโรงแรมโดยทัศศาร่วมออกแบบตามความต้องการของลูกค้าและนำเทคนิควิธีการทำมาถ่ายทอดให้ผู้ประกอบการและผู้ผลิตในชุมชนต่อไป
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุบัน กล่าวเสริมว่า จากการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการกลุ่มทำโคม โดยใช้เครื่องมือและองค์ความรู้จากกรอบวิจัย LE สามารถลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ได้ใน 4 ด้าน คือ “มิติเศรษฐกิจ” ที่ช่วยแก้ปัญหาตั้งแต่ระดับรากฐานของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการบัญชีครัวเรือน-บัญชีธุรกิจ หรือทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ เช่น ก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการทำโคมประเพณีขายลูกละ 7 บาท ในหนึ่งวันทำโคมได้ 20 ลูก ก็จะได้เงิน 140 บาท เมื่อชวนวิเคราะห์ให้ผู้ประกอบการเห็นข้อมูลก็จะพบว่า ในหนึ่งวันต้องทำเยอะมาก แต่สัดส่วนรายได้ไม่ถึงค่าแรงขั้นต่ำด้วยซ้ำ ขณะที่คนได้เงินมากกลับเป็นพ่อค้าคนกลางที่มารับโคมไปขาย แต่งาน LE ทำให้เราต้องวิเคราะห์เพื่อยกระดับทั้งห่วงโซ่ของโคม ตั้งแต่ผู้ผลิตต้นน้ำ ผู้รวบรวม ผู้ขาย กระทั่งถึงมือผู้บริโภค ทำความเข้าใจลึกไปถึงการเกิดรายได้ของแต่ละคน เพื่อทำให้เกิดรายได้ที่มีความเหมาะสมและเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่ของโคม
“จากเดิมทำโคมประเพณีส่งพ่อค้าคนกลางได้ใบละ 7 บาท เมื่อเริ่มทำโคมมงคลกับทัศศา ก็สามารถเพิ่มมูลค่าของโคมเป็นลูกละ 99 หรือ 100 กว่าบาท ทำให้รายได้โดยรวมของผู้ประกอบการเพิ่ม 3 - 4 เท่าต่อวัน ซึ่งแน่นอนว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นกระจายกลับไปหาคนในห่วงโซ่การผลิตต่าง ๆ ที่อยู่ในชุมชนด้วย อาทิ คนทำโครงไม้ ย้อมสี ติดกระดาษ ปักผ้า สกรีนลาย ต่อหางร้อยลูกปัด และขั้นตอนอื่น ๆ ในการผลิตโคม”
ทางด้าน นางสาวศิริรักษ์ คันธวงค์ รองประธานวิสาหกิจชุมชนสินค้าพื้นถิ่นตำบลท่าศาลา กล่าวว่า เมื่อรับออเดอร์โคมมงคลจากทัศศา เราจะทำหน้าที่กระจายงานไปยังผู้ผลิตในกระบวนการต่าง ๆ ตามความสามารถเพื่อกระจายรายได้ ซึ่งจริง ๆ เราทำโคมกันมานานตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ แล้ว แต่ก็ไม่เคยรวมกลุ่มกันได้เพราะรายได้น้อย คนทำเยอะ ซึ่งต่างก็แข่งขันกันเอง เรารวมคนไม่ได้เพราะไม่สามารถทำให้คนอื่นเห็นภาพของความสำเร็จจากการรวมกลุ่ม จึงไม่ได้รับความเชื่อถือ อีกทั้งเราไม่เคยคิดเรื่องต้นทุนหรือค่าแรง แม้จะทำทุกวัน ทำเยอะมาก แต่เงินที่ได้กลับเพียงพอ แต่ปัจจุบันนี้มีคนสนใจเข้ามาทำงานร่วมกับกลุ่มของเรามากขึ้น มีการกระจายรายได้ออกไปนอกชุมชนท่าศาลาถึงหมู่บ้านข้างเคียง และหมู่บ้านที่เป็นผู้ผลิตต้นน้ำ เช่น การซื้อไม้มาทำโครงของโคม หรือการซื้อกระดาษ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนใน “มิติสังคม” คือ การปฏิสัมพันธ์ และการเรียนรู้ร่วมกันในการประกอบอาชีพ เนื่องจากที่ผ่านมาทุกอย่างถูกกำหนดจากพ่อค้าคนกลางไม่ว่าจะเป็นจำนวนการผลิต หรือการกำหนดราคา ส่วนผู้ผลิตก็จะกระจายตัวอยู่ในหมู่บ้าน แต่การผลิตโคมกับทัศศาทั้ง 5 แบบนั้น เป็นโคมรูปแบบใหม่ มีการใช้วัสดุและรูปทรงแตกต่างกันไป จึงทำให้กลุ่มได้มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล วางแผนการผลิต กระจายงาน แบ่งปันเทคนิค และควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ไปด้วยกัน เป็นการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ ทำงาน เป็น Teamwork ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในชุมชน โดยสิ่งที่ได้ตามมาคือ “มิติสุขภาพ” ที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน การปฏิสัมพันธ์กันในบางกิจกรรมหรือบางขั้นตอนของการผลิตโคมสามารถช่วยลดความเครียด ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นและช่วยลดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและลูกหลานได้ เพราะบางครั้งก็จะมีการจัดกิจกรรมหลักสูตรการผลิตโคมมงคลให้กับเด็กและเยาวชนหรือนักท่องเที่ยวที่สนใจโดยมีผู้สูงอายุในชุมชนเป็นครูภูมิปัญญา ซึ่งเชื่อว่าหากโมเดลของการเรียนรู้ผ่านวิถีชีวิตและอาชีพนี้ขยายไปยังพื้นที่ชุมชนอื่น ๆ ได้ก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้
ยิ่งไปกว่านั้นโครงการนี้ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำใน “มิติการศึกษา” เนื่องจากการทำงานเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมนั้น หากต้องการให้เกิดความยั่งยืนจะต้องมีเรื่องของการสืบสานภูมิปัญญาหรือแนวคิดใหม่ ๆ ควบคู่ไปด้วย เนื่องจากคนทำโคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เป็นคนรุ่นเก่า ดังนั้นสิ่งสำคัญคือทำให้ภูมิปัญญาการทำโคมเป็นงาน Handmade ที่กลายเป็นอาชีพของคนรุ่นใหม่ได้ เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรมไปพร้อมกับการเลี้ยงชีพได้ด้วย ดังนั้นจึงต่อยอดความร่วมมือกับโรงเรียนเครือข่ายของวัดทั้ง 5 แห่ง ที่พร้อมนำหลักสูตรการเรียนรู้ไปใช้ เช่น โรงเรียนวัดศรีดอนไชย โรงเรียนวัดวังสิงห์คำ โรงเรียนวัดดอนจั่น และโรงเรียนวัดป่าแดด เป็นต้น โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนและครู ร่วมขับเคลื่อนผ่านการบูรณาการร่วมกับหลักสูตรท้องถิ่นจัดการร่วมในการเรียนรู้ของนักเรียน ในลักษณะของ “ยุวทัศศา ปันกัน” ซึ่งเป็นการจำลองบริษัทเล็ก ๆ ขึ้นในโรงเรียนเพื่อเปิดพื้นที่และโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงในโมเดลการทำธุรกิจชุมชนจากการทำโคมมงคลกับทัศศา โดยเด็ก ๆ จะเรียนรู้จริงผ่านโครงสร้างการทำงานโดยมีผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ อาทิ ฝ่ายเหรัญญิกดูแลรายรับ-จ่าย ฝ่ายดูแลคำสั่งซื้อจากทัศศา ฝ่ายตรวจสอบคุณภาพ และฝ่ายออกแบบ เป็นต้น ซึ่งรายได้จากการทำโคมของนักเรียนที่เข้าร่วมกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับการจัดสรรของแต่ละโรงเรียน ซึ่งบางแห่งอาจเข้ากลุ่มในรูปแบบทุนการศึกษาสำหรับเด็ก ๆ
อย่างไรก็ตามการนำองค์ความรู้จาก LE มาใช้ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเรียนรู้ได้อย่างยั่งยืน เพราะทีมวิจัยและมหาวิทยาลัยเองก็ได้รับการพัฒนาไปพร้อมกับผู้ประกอบการด้วย เปรียบเสมือนการฝังชิพความรู้และทักษะที่ได้รับจาก LE ให้อยู่กับผู้ประกอบการที่เป็น Local Enterprise ซึ่งอาจจะกลายเป็นชุมชนที่ขยายฐานส่งต่อการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนอื่น ๆ ได้ใช้เป็นต้นแบบในอนาคตต่อไป