In News
'ชูศักดิ์'แถลงผลประชุมครม.อนุมัติ3เรื่อง ตั้ง2โฆษกรัฐบาลไฟเขียวพรบ.ของบีโอไอ

กรุงเทพฯ-'ชูศักดิ์' เผยผลประชุมครม. ยืนยันไม่ได้พูดถึงการยุบสภา แต่มีมติแต่งตั้ง 'จิรายุ' ทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลและศศิกานต์ รองโฆษกฯตามเดิม นอกจากนั้นยังได้มีมติอนุมัติร่างพ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามที่บีโอไอ.เสนอ
2 กันยายน 2568นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งโฆษกประจำนายกรัฐมนตรี คือ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ พร้อมได้อนุมัติคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ในการมอบหมายหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีเรียงลำดับตามที่จัดลำดับไว้ คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพลังงาน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เหมือนที่เคยปฏิบัติมา
นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้อนุมัติการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองจำนวน 15 ตำแหน่ง โดยมี นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ เป็นรองโฆษกฯ
นอกจากนี้ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เสนอ
โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการจากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Top-Up Tax) (เป็นการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่) ซึ่งประเทศไทยได้ตราพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ.2567 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อจัดเก็บภาษีดังกล่าวจากกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่และนิติบุคคลในเครือซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยที่มีรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาตินั้น ตั้งแต่ 750 ล้านยูโรขึ้นไป หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท ในอย่างน้อย 2 รอบระยะเวลาบัญชีในช่วง 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณาเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสีย Top-Up Tax โดยต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax หรือ GMT) ในอัตราร้อยละ 15 ซึ่งต้องเริ่มคำนวณและยื่นแบบเพื่อชำระภาษีดังกล่าวตั้งแต่ปี 2568 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการรองรับการเสียภาษีขั้นต่ำ ตาม Pillar 2 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยจากการศึกษาพบว่าต่างประเทศได้มีการนำวิธีการให้เครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credits : ORTC) ซึ่งเป็นการคืนเงินภาษีในรูปแบบของเงินสดหรือเทียบเท่า หากบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลของผู้จัดเก็บภาษีกำหนด มาใช้เป็นแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บ Top-Up Tax และวิธีการ ORTC เป็นวิธีการที่ OECD ให้การยอมรับ
โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1.การให้สิทธิและประโยชน์เครดิต และการนำเครดิตไปใช้แทนการชำระภาษีอากร โดยกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติให้ผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถได้รับสิทธิเครดิตภาษีตามสัดส่วนของการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายครอบคลุม 3 ด้าน โดยผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถนำเครดิตภาษีที่ได้รับอนุมัติไปใช้แทนการชำระภาษีอากรของตนเองหรือนิติบุคคลในเครือเดียวกันที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยโดยต้องนำไปใช้แทนการชำระภาษีอากรภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
2.การคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่จากกองทุนฯ ผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขอรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่คืนเป็นเงินสดภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด และคณะกรรมการนโยบายมีอำนาจพิจารณาให้นำเงินจากกองทุนฯ มาจ่ายคืนสำหรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่นั้นได้ ทั้งนี้ ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนให้เพียงพอต่อการคืนเงินสด (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 6 มาตรา 29 มาตรา 30 และเพิ่มมาตรา 26/1)
3.การเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยกำหนดให้ในกรณีที่มีการตรวจสอบพบการให้หรือการใช้สิทธิและประโยชน์เครดิตภาษีไม่ถูกต้อง คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยอาจกำหนดให้มีผลย้อนหลังไปยังรอบปีภาษีที่ไม่ถูกต้องได้ และให้นำกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับต่อไป (เพิ่มมาตรา 27/1)
4.การประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ กำหนดอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถประสานไปยังกระทรวงการคลังซึ่งเป็นต้นสังกัดของหน่วยงานผู้จัดเก็บภาษีอากร ให้จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรตามกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องได้ (เพิ่มมาตรา 12/1)