In News
แบงค์ชาติจับตา‘บาท’แข็งสุดในภูมิภาค เอกชนหวั่นส่งออก/กสิกรไทยชี้จีดีพีต่ำ2%

กรุงเทพฯ-ร้องจ๊าค!!ค่าเงินบาทเช้านี้แข็งตัวขึ้นแตะ 31.68บาทต่อดอลล่าร์แข็งสุดในภูมิภาค และมีแนวโน้มแข็งตัวขึ้นอีก ภาคเอกชนโอด ส่วนทางเศรษฐกิจ กระทบส่งออกซ้ำสองจากมะกันปรับภาษีนำเข้า ขณะที่ที่แบงค์ชาติยันเงินบาทวันนี้แข็งขึ้น 7% สั่งเฝ้าระวังใกล้ชิด ชี้เกิดจากราคาทองเพิ่มขึ้นดันเงินบาทแข็งตัว ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้จีดีพีไทยเสี่ยง เติบโตต่ำ 2% ยาว 15 ปี แนะลงทุนรับปันผลสูง
เป็นประวัติการณ์ไปแล้ว เช้าวันนี้เงินบาทดีดขึ้นที่ระดับ 31.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.82 บาทต่อดอลลาร์โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวรับ 31.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.66-31.86 บาทต่อดอลลาร์)
หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องของราคาทองคำ
หลังผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุดออกมาแย่กว่าคาดไปมาก จะหนุนให้ เฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ (โอกาสราว 88%) และผู้เล่นในตลาดยังมองว่า เฟดอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน นี้ได้
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ตอบรับผลโหวตมติไว้วางใจ (Vote of Confidence) นายกฯ François Bayrou ซึ่ง นายกฯ ได้พ่ายแพ้ในการโหวตมติไว้วางใจดังกล่าวตามคาดการณ์ของตลาด และจะนำไปสู่การเลือกนายกฯ คนใหม่ ในเร็ววันนี้ และนอกเหนือจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงอานิสงส์จากโฟลว์ธุรกรรมทองคำ การปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด อย่าง การ Stop Loss ของฝั่งสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทด้วยเช่นกัน
แนวโน้มของค่าเงินบาท (USD-THB) ได้แข็งค่าขึ้น มากกว่าที่เราประเมินไว้ในตอนแรก (กรอบล่างของทั้งสัปดาห์ 31.85 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ ยังคงทยอยอ่อนค่าลง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ การปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง การ Stop Loss สถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ก็มีส่วนเร่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน
แต่มองว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้างและมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในวันนี้ ตั้งแต่ช่วง 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง จากที่ตลาดเคยประเมินไว้ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนผ่านการปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน
ทั้งนี้ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าทะลุระดับดังกล่าว ได้จริง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง เมื่อตลาดทยอยรับรู้ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หากทั้งสองข้อมูลดังกล่าว สะท้อนแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จากผลกระทบของนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0
สำหรับประเด็นการเมืองฝรั่งเศสก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ อีกทั้งตลอดทั้งสัปดาห์ จนถึงวันที่ 18 กันยายน นี้ ก็อาจมีการประท้วงเกิดขึ้นหลายครั้ง รวมถึง ทาง Fitch Rating ก็จะมีการรีวิวอันดิบเครดิตเรทติ้งของฝรั่งเศส ซึ่งอาจกลับมาสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์ฝรั่งเศสและเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง เช่นเดียวกัน กับความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น ที่อาจทำให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจนในระยะสั้นได้ยากมากขึ้น
การประเมิน Valuation ของเงินบาท ผ่านโมเดล BEER ของเรานั้น พบว่า เงินบาทที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นกว่านั้น จะเป็นการแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ -2 SD (เทียบ Fair Value แถว 34-35 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา พบว่า เงินบาทก็มีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงบ้าง จากระดับแข็งค่ามากดังกล่าว ในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.50-31.80 บาท/ดอลลาร์
‘ธุรกิจเอกชน’โอดบาทแข็งค่ารุนแรง สวนทางเศรษฐกิจ
ด้าน นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องจนแตะระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าที่รวดเร็วและรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และสวนทางกับทิศทางเศรษฐกิจจริงของประเทศ ซึ่งการแข็งค่าดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
“ภาคการส่งออก ต้องเผชิญการแข่งขันที่ยากลำบาก เนื่องจากราคาสินค้าไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ส่งผลต่อยอดขายและรายได้จากต่างประเทศ ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยว ความแข็งค่าของเงินบาททำให้ประเทศไทยมีต้นทุนการท่องเที่ยวสูงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดแรงจูงใจในการเดินทางมาไทย ส่วน ภาคเกษตรกรรม เกษตรกรไทยที่พึ่งพาการส่งออกได้รับผลกระทบหนักจากต้นทุนและรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับค่าเงิน โดยเฉพาะข้าวนาปี และพืชไร่ที่กำลังจะออกมา”
แบงค์ชาติเฝ้าระวังใกล้ชิดหลังแข็งค่าขึ้น7%
นางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% อยู่ในกลุ่มนำสกุลเงินภูมิภาค และในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง
ธปท.ยังคงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงินเพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวแข็งค่าของสกุลเงินภูมิภาคและค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ จากการที่ผู้ร่วมตลาดคาดการณ์ว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้น
นางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ขณะที่เงินบาทได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการในการลดผลกระทบจากราคาทองคำต่อค่าเงินบาท
ภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน
กสิกร ชี้จีดีพีไทย เสี่ยง เติบโตต่ำ 2% ยาว 15 ปี แนะลงทุนรับปันผลสูง
นางสาวภารดี มุณีสิทธิ์ CFA, Chief Investment Officer รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง โดยบทวิจัย KAsset Capital Market Assumptions (KCMA) ที่บลจ.กสิกรไทย จัดทำร่วมกับ J.P. Morgan Asset Management คาดการณ์ว่า GDP ไทยในช่วง 10–15 ปีข้างหน้าจะเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนช่วง COVID-19 ที่อยู่ที่ประมาณ 3.6%
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงเช่นนี้ ส่งผลให้บริษัทขนาดกลางและเล็กเผชิญกับปัญหาด้านการเติบโตและสภาพคล่องที่หดตัว ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานรายได้มั่นคง กระแสเงินสดแข็งแรง และมีกำไรสม่ำเสมอ กลับสามารถรับมือกับความผันผวนได้ดีกว่า ซึ่งบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหุ้นปันผลสูง
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย จึงแนะนำ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล หรือ K-VALUE เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานมั่นคง และเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงอย่างต่อเนื่อง โดยมีให้เลือกลงทุน 2 รูปแบบ ได้แก่ K-VALUE-A(D) ชนิดจ่ายเงินปันผล และ K-VALUE-A(A) ชนิดสะสมมูลค่า
นางสาวภารดีกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-VALUE ได้มีการปรับเปลี่ยนดัชนีชี้วัด (Benchmark) จากดัชนี SET มาเป็นดัชนี SET High Dividend 30 (SETHD) ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อสะท้อนกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผลสูงอย่างแท้จริง โดยความน่าสนใจของหุ้นปันผลสูงอยู่ที่
1) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานธุรกิจและรายได้มั่นคงส่งผลให้ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำกว่าโดยอ้างอิงจากดัชนี SET ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีค่าความผันผวน 15.5% ขณะที่ SET High Dividend (SET HD) มีค่าความผันผวน 14.3%
2) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทมีกำไรที่ดีต่อเนื่อง สามารถจ่ายปันผลได้สูงกว่าตลาดหุ้นไทยในภาพรวมอย่างสม่ำเสมอ โดยคาดการณ์ปันผลของหุ้นกลุ่มปันผลสูงในปี 2026 ที่ 7.1% เทียบกับ SET ที่ 4.6%
3) หุ้นปันผลสูงให้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลที่แน่นอนกว่าการหวังกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) จากราคาหุ้นที่อาจไม่เติบโตมากในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
4) หุ้นปันผลสูงช่วยลดความเสี่ยงจากวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่ม Growth หรือ Mid-Small Cap ที่มักมีราคาผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ และ 5) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน
“สภาพัฒน์ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ขึ้นเป็น 2% จากเดิมที่ 1.8% ภายหลังการบรรลุข้อตกลงภาษีการค้ากับสหรัฐฯ และ GDP ไตรมาส 2 ที่ออกมาดีกว่าคาด เติบโต 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังคาดว่าจะชะลอตัวกว่าครึ่งปีแรก จากการส่งออกที่หดตัวลง การบริโภคและการลงทุนที่ยังอ่อนแรง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่ช่วยประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจนับจากนี้ได้แก่ การผ่อนคลายทางการคลังผ่านการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐภายหลังงบประมาณผ่านสภาฯ และการผ่อนคลายทางการเงินผ่านการลดดอกเบี้ย โดยปัจจุบันคาดการณ์การเติบโตของ EPS ในปีนี้ที่ 17.6% ประกอบกับระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) ตลาดยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดย SET Index ที่ 1248 จุด คิดเป็น Forward P/E ที่ 13.7 เท่า ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น” นางสาวภารดีกล่าว
นางสาวภารดีกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-VALUE เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหาโอกาสจากการลงทุนในหุ้นไทยจากกลุ่มหุ้นปันผลสูง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ซื้อง่ายอย่างปลอดภัยด้วย App K PLUS และ K-My Funds หรือ ธนาคารกสิกรไทย และ ผู้แทนสนับสนุนการขาย
เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปี
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ เป็นผู้บริหารงานวิจัยของ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ล่าสุดเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีที่ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ก่อนจะกลับไปเคลื่อนไหวที่ 31.86 บาทต่อดอลลาร์(16.15 น.)โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐต่อเนื่อง ภายหลังจากข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐ เดือนส.ค. ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดและหนุนโอกาสการเริ่ม cycle การปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับ เสียงบางส่วนในตลาดเริ่มมองความเป็นไปได้ที่อาจจะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยลงมากกว่า 0.25% ในการประชุม FOMC เดือนก.ย. นี้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ราคาทองคำในตลาดโลกที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ และสัญญาณซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ ก็เป็นปัจจัยที่หนุนให้เงินบาทแข็งค่าด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ในระยะสั้น มองว่าเงินบาทยังมีโอกาสกลับไปทดสอบแนว 31.80 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ส่วนกรอบสัปดาห์นี้มองไว้ที่ 31.80-32.80 บาทต่อดอลลาร์(คาดการณ์โดย KBANK) ต้องรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในช่วงโค้งสุดท้ายนับถอยหลังสู่กำหนดการประชุมเฟด 16-17 ก.ย.นี้