Think In Truth
นักวิชาการธรรมศาสตร์เสนอกติกากำกับ ‘สื่อ-รายการออนไลน์’เพื่อปกป้องผู้บริโภค

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เสนอสร้างกติกากำกับแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์-รายการออนไลน์ ต้องโปร่งใส ชัดเจน ก้าวทันเทคโนโลยี เน้นรักษาความสมดุลระหว่างการปกป้องผู้บริโภค - กับการรักษาเสรีภาพการแสดงออก ย้ำต้องไม่เข้มงวดถึงขั้นจำกัดเสรีภาพการแสดงออก ยกตัวอย่าง “อังกฤษ-สิงคโปร์-อินโดนีเซีย” ก็กำกับเช่นกัน
ผศ. ดร.เอกพล เธียรถาวร อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีประเด็นถกเถียงกันว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ควรมีบทบาทเข้าไปกำกับแพลตฟอร์มที่ให้บริการสื่อผ่านอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบดั้งเดิม (Over-The-Top : OTT) หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันพบว่าผู้สื่อข่าว ผู้ประกาศข่าว ตลอดจนอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก ได้เปิดช่องทางการสื่อสารออนไลน์ของตัวเอง หรือมีรายการออนไลน์ของตัวเอง และในบางกรณีอาจมีการรายงานที่หลุดกรอบมาตรฐานที่ควรจะเป็นไปบ้าง ส่วนตัวเห็นว่าจำเป็นต้องมีการสร้างกติกากำกับ OTT ซึ่งต้องมีความโปร่งใส ชัดเจน ก้าวทันเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ปัจจุบัน กสทช. มีความพยายามที่จะผลักดันกฎหมายให้มีการควบคุม OTT อยู่ และมีการศึกษาเรื่องกฎหมายนี้มานานร่วมปีแล้ว ส่วนตัวเห็นว่า กสทช. ควรที่จะเร่งสร้างความชัดเจนในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับการกำกับ OTT เพราะกฎหมายเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบันตามเทคโนโลยีไม่ทัน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่ากฎที่ออกมานั้นจะต้องมีความเข้มงวดจนกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อ แต่โดยหลักการควรจะต้องมีกติกาที่ชัดเจนและก้าวทันเทคโนโลยี เช่นเดียวกับที่หลายประเทศ อาทิ ประเทศอังกฤษ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ก็มีข้อบังคับในการควบคุม OTT เช่นกัน
ผศ. ดร.เอกพล กล่าวว่า แนวคิดเรื่องการไม่ใช้ภาษาและพฤติกรรมที่เป็นการดูหมิ่นหรือสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้อื่น (Political Correctness: PC) ในการสื่อสาร ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในแก้ไขปัญหาการแสดงออกอย่างเลยเถิดจนไปกระทบจิตใจ เกิดการกดทับ การตีตรา หรือเกิดวาทะที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) จนอาจนำมาสู่ความรุนแรงในโลกของความเป็นจริงได้
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันมีผู้มองว่าหากคำนึงถึง PC เพียงอย่างเดียว การสื่อสารที่ไม่พูดอย่างตรงไปตรงมาหรือมัวแต่ประดิดประดอยถ้อยคำก็อาจทำให้ปัญหาเหล่านั้นไม่ถูกแก้ไข ดังนั้นเส้นหรือความสมดุลของการรักษาหลักการ PC จึงขึ้นอยู่กับแก่นของประเด็นที่ต้องการจะสื่อสาร ส่วนตัวมองว่าสื่อสามารถพูดในเรื่องอ่อนไหวได้ และ PC ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามพูดเรื่องอ่อนไหวในทุกกรณี ทั้งหมดอยู่ที่แก่นของเรื่องว่าจะสื่อสารอะไร หากเรื่องอ่อนไหวเหล่านั้นสัมพันธ์กับนโยบาย การกระทำ การปฏิบัติหน้าที่ การบริหารงาน จนทำให้ประเทศเสียประโยชน์ก็สามารถพูดได้ คือต้องก้าวข้ามการโจมตีบุคคล
ผศ. ดร.เอกพล กล่าวต่อไปว่า สำหรับประเด็นที่มีผู้ดำเนินรายการพูดถึงโรคซึมเศร้าแล้วมีสื่อนำไปเผยแพร่ซ้ำนั้น ส่วนตัวมองว่าการกระทำของสื่อเข้าข่ายการผลิตซ้ำเนื้อหาเดิมๆ หรือข้อความเดิมๆ จนอาจจะสร้างผลกระทบต่อเหยื่อผู้ได้รับความเสียหาย หรือประชาชนผู้เสพสื่อที่มีประสบการณ์ร่วมเดียวกันกับเหยื่อได้ แต่จากการมอนิเตอร์การเผยแพร่ข่าวดังกล่าวของสื่อหลายสำนัก พบว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ในมาตรฐานที่รับได้ เพียงแต่อาจจะมีสื่อบางช่องหลุดออกนอกกรอบไปบ้าง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่สะท้อนว่าพื้นที่ออนไลน์ยังไม่มีกรอบที่ชัด แต่ส่วนคิดว่าในประเด็นนี้ไม่ควรมีกฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ด้วยบทบาทหน้าที่ของสื่อสามารถที่จะเผยแพร่เนื้อหาหรือคลิปที่มีความรุนแรงได้บ้าง เพียงแต่เนื้อหาของข่าวควรมุ่งไปยังบริบทของการตั้งคำถามเรื่องการทำหน้าที่และเรื่องจริยธรรมเป็นหลัก ไม่ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องตลกหรือเรื่องที่มีสีสันเพื่อหวังยอดติดตามของผู้รับชมเพียงอย่างเดียว ย้ำว่าสิ่งสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่าง PC เสรีภาพการพูด และความรับผิดชอบของสื่อมวลชน ซึ่งไม่ใช่การห้ามพูดในเรื่องที่อ่อนไหว แต่ต้องสามารถพูดได้บนมาตรฐานและเจตนาที่ชัดเจน