Digitel Tech & AI

ETDAเปิดวิสัยทัศน์ปี69เร่งสร้างDigital Trust ชูธง3งานใหญ่ทั้งกำกับ-ส่งเสริม



กรุงเทพฯ 10 กันยายน 2568 -  สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แถลงผลงานประจำปี “15 ปี ETDA CO-CREATING A FUTURE OF DIGITAL TRUST”   โชว์ความสำเร็จรอบปี 2568 โดดเด่นทั้ง ‘กำกับและส่งเสริม’ พร้อมเปิดวิสัยทัศน์แห่งอนาคต ปี 2569 ก้าวสู่ปีที่ 15 เร่งสร้าง ‘Digital Trust’ ตอกย้ำบทบาท ‘Co-Creation Regulator & Facilitator’ ชูธง 3 งานใหญ่สุดท้าทาย ‘เสริมความเชื่อมั่นโครงสร้างพื้นฐาน - ดัน AI เติมศักยภาพไทยพร้อมสู่ศูนย์กลางภูมิภาค - ขยายกลไกร่วมกำกับบริการแพลตฟอร์ม’ ยกระดับธุรกรรมออนไลน์ที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พาคนไทยพร้อมก้าวสู่อนาคต...ด้วยบริการดิจิทัลที่ทุกคนเชื่อมั่นได้

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่ากว่า 15 ปีที่ ETDA มุ่งเดินหน้าขับเคลื่อนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้มั่นคงปลอดภัย น่าเชื่อถือ ร่วมสร้างสังคมดิจิทัล ที่มาพร้อมเป้าหมายใหญ่กับตัวเลข 30:30 ที่ต้องไปให้ถึงภายในปี 2570 ทั้ง การเพิ่มสัดส่วนมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจดิจิทัลต่อ GDP เป็น 30% และ 30 อันดับแรกของโลกที่มีความสามารถการแข่งขันทางดิจิทัล ที่ผ่านมา ETDA ได้เดินหน้าขับเคลื่อนงานอย่างเข้มข้นด้วยบทบาท ‘Co-Creation Regulator & Facilitator’ ที่มุ่งกำกับดูแลธุรกิจบริการดิจิทัล ทั้ง Digital ID และแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้เกิดบริการที่โปร่งใส เป็นธรรม ควบคู่การส่งเสริมเพื่อให้ทุกภาคส่วนพร้อมเปลี่ยนผ่านสู่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ โดยปี 2568 มีผลการดำเนินงานที่สำคัญที่ถือเป็นไฮไลท์ของปีนี้ ไม่ว่าเป็น

ร่วมสร้าง Digital Infrastructure & Ecosystem ที่น่าเชื่อถือด้วย Digital ID ผ่านการขับเคลื่อน Digital ID Framework ที่ผลักดันให้ Digital ID เป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ เชื่อมโยงการทำธุรกรรมออนไลน์ที่น่าเชื่อถือในทุกภาคส่วนอย่างสะดวก ปลอดภัย ไร้รอยต่อ ที่มาพร้อมกลไกกำกับดูแลภายใต้กฎหมาย Digital ID รวมถึงมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดบริการและการใช้งานที่น่าเชื่อถือ เหมาะสม โดยมีข้อเสนอแนะตลอดจนแนวทางการใช้งาน Digital ID ที่ครอบคลุมการทำธุรกรรมออนไลน์ ในกลุ่มนิติบุคล คนต่างด้าว กลุ่มคนเปราะบาง ตลอดจนมีแนวทางในการทำงานร่วมกันของ VC and Digital Document Wallet แล้ว มีผู้ให้บริการ Digital ID ที่ได้รับอนุญาตแล้ว 26 ใบอนุญาต มี Sub CA ที่ผ่านการรับรองจาก NRCA ทำหน้าที่ออกใบรับรองดิจิทัล 3 ราย สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมต่อ e-Service ภาครัฐแล้ว 1,315 บริการ (เป็นบริการสำคัญที่ต้องใช้ Digital ID ตามหลักเกณฑ์ของ สพร.) ครอบคลุมธุรกรรมที่สำคัญๆ เช่น เสียภาษี ย้ายทะเบียนบ้าน จองทะเบียนรถ จ่ายค่าน้ำไฟ และเช็กสิทธิรักษาพยาบาล และอีกหลายบริการ ส่งผลให้มีผู้ใช้งาน Digital ID เพิ่มขึ้นถึง 151.1  ล้านบัญชี พร้อมเปิดเวทีจัด Hackathon ปลดล็อกธุรกรรมด้วย Digital ID Solution ใหม่ สำหรับกลุ่ม นิติบุคคล (มอบอำนาจ,e-Contract) คนต่างด้าว (พิสูจน์และยืนยันตัวตน) กลุ่มเปราะบาง (Care Giver ID ทำธุรกรรมโดยผู้แทน) สู่การต่อยอดใช้งานจริง

เพิ่มความเชื่อมั่นต่อบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ด้วยกลไกกำกับดูแลที่ชัดเจนขึ้น ภายใต้กฎหมาย DPS ที่มุ่งคุ้มครองผู้ใช้งานทุกกลุ่มและสร้าง Ecosystem ของบริการที่ปลอดภัย ลดเสี่ยงจากการใช้งาน ไปกับ 4 ประกาศใหม่ ครอบคลุม ‘Online Marketplace และ Ride Sharing’ วางทิศทางการกำกับดูแลตนเองของผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มฯ อย่างเป็นระบบ กำหนดหน้าที่ชัดเจนขึ้น  เช่น การประกาศรายชื่อแพลตฟอร์ม Online Marketplace เสี่ยงสูงที่ต้องมีหน้าที่เพิ่มเติม การกำหนดบทบาทหน้าที่สำหรับผู้ให้บริการ Online Marketplace และ Ride Sharing ตาม ม.20 และ ม.21 พร้อมเชื่อมระบบเปิดช่องให้ผู้ใช้งานเช็กรายชื่อแพลตฟอร์มที่ผ่านการแจ้งข้อมูลฯ กับ ETDA ขณะที่ ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มฯ สามารถดาวน์โหลดใบรับแจ้งข้อมูลฯ ได้ผ่านบริการแอปพลิเคชันภาครัฐ ล่าสุดมีแพลตฟอร์มแจ้งข้อมูลฯ แล้ว 1,925 แพลตฟอร์ม (ณ วันที่ 8 ก.ย. 68) พร้อมเดินหน้าสร้าง Community การกำกับดูแลแบบมีส่วนร่วมผ่านแคมเปญ DPS Trust Every Click ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมฯ หน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ (สคบ., อย., กสทช., กรมขนส่งทางบก, สมอ. ฯลฯ) ภาครัฐ และแพลตฟอร์มดิจิทัล ขยายการใช้งาน Best Practice และสร้างการรับรู้ป้องกันภัยเสี่ยงแก่ผู้บริโภค เสริมกลไกการกำกับด้วย“ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ หรือ 1212 ETDA” ที่เป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนกลางตามกฎหมาย DPS โดยช่วง ต.ค. 2567 - ก.ค. 2568 รับเรื่องร้องเรียนแล้ว 33,181 เรื่อง ประชาชนมีความพึงพอใจสูงถึง 95.14% พร้อมเชื่อมระบบแจ้งความออนไลน์กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขยายความร่วมมือกับ กรมการค้าต่างประเทศ, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ แพลตฟอร์มดิจิทัล (Facebook, TikTok) ยกระดับการคุ้มครองผู้ใช้งานในมิติต่างๆ

AI Governance เพิ่มขีดความสามารถองค์กร ใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล ผ่านศูนย์ AIGC (AI Governance Center) ที่พัฒนา Guidelines และ toolkits เพื่อให้การพัฒนาและใช้ AI เหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐานสากล กว่า 12 เรื่อง อาทิ Ethical AI-Ready Data Governance, AI Ready Data Assessment, AI Project Management และ Recommendation on the Ethics of AI (Monitoring System Thailand 2025) และให้คำปรึกษาเกิดการนำแนวทางไปปรับใช้ในหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนกว่า 20 องค์กร สร้างความตระหนักรู้ด้านการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล ครอบคลุมกว่า 29,550 คน มี AI Governance Train the Trainer รุ่นแรก 49 คน ร่วมเป็นเครือข่ายวิทยากรเตรียมขยายผลส่งต่อความรู้สู่ 400 หน่วยงานรัฐทั่วประเทศ เริ่ม AI Governance Testing ตรวจสอบและประเมินการทำงานของระบบ AI ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยนำร่องทดสอบ LLM Trustworthy  ใน 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ โทรคมนาคม ประกันภัยและบริการภาครัฐ นอกจากนี้ ยังร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ AICA Korea, Data.org, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ NECTEC พร้อมผลักดันไทยสู่บทบาทเชิงกลยุทธ์ในเวทีโลกด้าน AI Ethics โดยเฉพาะเวที UNESCO Global Forum on AI Ethics 2025 ที่ไทยรับเลือกเป็นเจ้าภาพครั้งแรกของเอเชียแปซิฟิก สะท้อนถึงศักยภาพด้าน AI และเป็นก้าวสำคัญของการประกาศตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการด้านธรรมาภิบาล AI แห่งภูมิภาค หรือ AIGPC  (AI Governance Practice Center) ยกระดับบทบาทไทยจาก “ผู้เข้าร่วม” สู่การเป็น Regional Hub ด้านจริยธรรม  และธรรมาภิบาล AI

สนับสนุน ‘ภาครัฐ-เอกชน’ พร้อมสู่โอกาส ด้วย Digital Adoption and Transformation ด้วยข้อมูลที่สะท้อนภาพอนาคตธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สู่ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย อาทิ SMEs Digital Transformation Maturity Index, Value of e-Commerce Survey และผลการศึกษาการคาดการณ์อนาคตที่เกี่ยวข้อง พร้อมสนับสนุนหน่วยงานรัฐยกระดับงานเอกสารสู่อิเล็กทรอนิกส์ ผ่าน e-Saraban และ e-Signature ที่เชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานในกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าด้วยกัน ลดการใช้กระดาษอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญรองรับ พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Digital Certificate, e-Timestamp ให้คำปรึกษาและพัฒนาทักษะดิจิทัลแก่หน่วยงานรัฐให้การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ ทั้งสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแบบมุ่งเป้าในกลุ่ม SMEs ผ่านโครงการ SME Growth ขยายโมเดลติดสปีด SMEs เชิงพื้นที่ ‘ภาคกลาง (นครปฐม อยุธยา) และ ภาคอีสาน (ขอนแก่น)’ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 639 ล้านบาท เกิด Business Matching ระหว่าง SMEs และ Tech Provider รวม 55 คู่ เกิดกิจกรรม Solution Roadshow ลุย Workshop เข้ม แบบ Hands-on ครอบคลุม AI, e-Commerce, การเงินและบัญชี และร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่ผ่าน Digital Service Sandbox เกิดบริการดิจิทัลที่สำคัญ เช่น Digital ID, e-Document, e-Signature, e-Voting และ e-Timestamping ที่ผ่านการทดสอบแล้ว 8 ราย

เร่งพัฒนาทักษะคนไทยสู่แรงงานดิจิทัล ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ประชาชนและกลุ่มเปราะบาง รู้เท่าทัน ลดเสี่ยงภัยออนไลน์ ด้วยการพัฒนาทักษะเฉพาะด้านให้คำปรึกษาระดับองค์กร กับสถาบัน ADTE ที่จัดอบรมเสริมสมรรถนะดิจิทัลบุคลากรภาครัฐและเอกชน แล้ว 7,181 คน ครอบคลุมทั้ง AI, Digital Transformation, e-Signature, Digital ID ฯลฯ พร้อมรับรองทักษะดิจิทัล Professional Digital Workforce 2,000 ราย ให้คำปรึกษาแก่องค์กร 326 เคส ร่วมกับองค์กรระดับโลก อย่าง UNCITRAL เปิดเวทีผลักดันการใช้ “กฎหมายแม่แบบ” เชื่อมโยงการค้าดิจิทัลระดับโลกและ WCAP อบรมพัฒนาเว็บไซต์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานของ W3C ด้านชุมชน เดินหน้าโครงการ ELDC (ETDA Local Digital Coach) และกิจกรรม Craft Idea ต่อเนื่อง 5 ปี (2563–2568) สร้างเครือข่ายโค้ชดิจิทัลชุมชนสะสม 5,771 คน ถ่ายทอดทั้งความรู้ดิจิทัลและทักษะธุรกิจพัฒนาชุมชนแล้ว 854 ชุมชนทั่วประเทศ พร้อมด้วยแผนธุรกิจเพื่อชุมชนต่อยอดสู่ Social Enterprise สร้างรายได้และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ขยายการเรียนรู้สู่ประชาชน กลุ่มเปราะบาง เสริมเกราะป้องกันภัยออนไลน์ ผ่านโครงการ EDC (ETDA Digital Citizen) ที่สร้าง EDC Trainer 3,307 คน ครอบคลุม 526 อำเภอหรือเกือบ 60% ของทั่วประเทศ มีผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร EDC สะสมตลอด 4 ปี กว่า 116,752 คน ผลิตสื่อสำหรับผู้พิการทางการได้ยินที่เข้าถึงแล้วกว่า 29,073 คน ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงองค์ความรู้ดิจิทัลกว่า 5 ล้านครั้งในปีนี้ ขณะเดียวกัน 1212 ETDA ยังได้ลงพื้นที่ 27 จังหวัด จัดกิจกรรม “สร้างภูมิคนไทย รู้ทันปัญหาออนไลน์” ให้ความรู้ด้านการป้องกันภัยออนไลน์แก่ประชาชนแล้ว 15,293 คน

ดร.ชัยชนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานปี 2569  ETDA ชูวิสัยทัศน์ ‘ก้าวสู่อนาคต ด้วยดิจิทัลที่ทุกคนเชื่อมั่นได้’ ภายใต้บทบาท Co-Creation Regulator & Facilitator ที่เข้มข้นขึ้น เพื่อสร้าง Digital Trust เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ให้ #คนไทยชีวิตดีเมื่อมีดิจิทัล อย่างยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อน 3 โจทย์ใหญ่

1.เสริมความเชื่อมั่น Digital Infrastructure and Ecosystem ใน 4 เรื่องสำคัญ คือ Digital ID ที่ตั้งเป้าเชื่อมโยง e-Service ภาครัฐ ไม่น้อยกว่า 1,464 บริการ ขยายการเชื่อมต่อในภาคเอกชน เช่น ท่องเที่ยวและแพลตฟอร์มดิจิทัล ขยายผลการใช้งานในนิติบุคคล ต่างด้าว และกลุ่มเปราะบาง ส่งเสริมให้เกิดการใช้งานและผู้ให้บริการ (รัฐ-เอกชน) ของเอกสารรับรองดิจิทัล (VC) และกระเป๋าเอกสารดิจิทัล (Document Wallet) ที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และน่าเชื่อถือ และร่วมผลักดันให้เกิดการดำเนินงานตามเป้า Digital ID Framework ระยะที่ 2 เป็นต้น e-Document ต้องมีกระบวนการเสริมความเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐและเอกชน ผ่านการตรวจรับรอง e-Document, E-Signature, Timestamp, National Root CA: NRCA และTrust Services อื่น ๆ พร้อมสร้าง Community ขยายการใช้งานอย่างเชื่อมโยง AI & Data Sharing รัฐและเอกชนมีมาตรฐาน แนวทาง กลไกในการแบ่งปันข้อมูลอย่างมีธรรมาภิบาล เกิด Use case การพัฒนาบริการใหม่ที่สร้างมูลค่า (นำร่องกลุ่ม Healthcare Finance Insurance) และ Cloud ที่มุ่งสนับสนุนรัฐ ให้พร้อมรองรับ Digital Government Transformation  เปลี่ยนผ่านระบบงานและบริการดิจิทัลขึ้นสู่ระบบ Cloud ที่มีมาตรฐาน สอดคล้องตามนโยบาย Cloud First

2.เร่งเครื่อง AI เสริมศักยภาพไทยพร้อมสู่ศูนย์กลางภูมิภาค โดยมุ่งเน้นใน 3 ส่วน ได้แก่ AI Governance  ดันมาตรฐาน เสริมศักยภาพการแข่งขันในองค์กร ให้ไทยพร้อมสู่ Regional Hub ผ่านการเร่งตั้งศูนย์ AIGPC เชื่อมโยงกับเครือข่ายความร่วมมือนานาชาติ พร้อมขยายผล AI Governance Framework & Guideline ในหน่วยงาน Regulator อื่นๆ หรือหน่วยงานเฉพาะทาง ร่วมกับ Service provider จัดทำ New Solution Package ที่ตอบโจทย์ ผลักดัน AI Ethics Testing & Sandbox พัฒนาแนวทางทดสอบโมเดล AI โดยเฉพาะ LLM ให้ใช้งานอย่างรับผิดชอบ และประเมินผลกระทบด้านจริยธรรม AI ผ่าน Ethical Impact Assessment (EIA) พร้อมศึกษาและจัดทำข้อเสนอทางกฎหมายใหม่ ๆ รองรับความท้าทายจากระบบอัตโนมัติ AI and Digital Transformation ติดสปีด ‘SMEs-ชุมชน’ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจดิจิทัลเชิงพื้นที่ มุ่งยกระดับ Digital Capability ของ SMEs และ Service Provider ใน 4 ภูมิภาค ร่วมกับพาร์ทเนอร์ขยายโมเดล ลงพื้นที่เสริมขีดความสามารถ ด้วย AI และ Digital ผ่านกิจกรรม Solution Matching, Workshop และ Training พร้อมผลักดันให้เกิด New Solution โดยเฉพาะ Trust Services ตั้งเป้าให้ SMEs ไม่น้อยกว่า 1,000 รายใน 4 ภูมิภาคใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในธุรกิจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท รวมถึง ขับเคลื่อนยกระดับชุมชนสู่การสร้างรายได้    และพัฒนาทักษะ AI & Digital Skill ให้คนไทยกว่า 10,000 คน พร้อมเร่งส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมด้วยข้อมูลที่สนับสนุนการมองภาพอนาคตดิจิทัลที่สำคัญสะท้อนความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้เทคโนโลยี AI เสริมธุรกิจ SMEs และชุมชน สู่พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ AI Literacy & Protection สร้างภูมิคุ้มกัน ‘คนไทย-กลุ่มเปราะบาง-คนพิการ’ รู้ทันดิจิทัล ครอบคลุมทุกพื้นที่ ผ่านเครือข่าย EDC Trainers กว่า 2,000 คน ครอบคลุม 878 อำเภอ ส่งต่อความรู้สู่ประชาชนทุกกลุ่ม ไม่น้อยกว่า 60,000 คน พร้อมจัดกิจกรรมเสริมภูมิคุ้มกันภัยดิจิทัลผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ที่เพิ่มการเข้าถึงไม่น้อยกว่า 5 ล้านครั้ง พร้อมพัฒนาหลักสูตร e-Learning & Specialized ครอบคลุม 4 โมดูล ของ EDC plus (Digital Use, Communication, Security, AI Literacy) เป็นต้น

3.ขยายกลไกร่วมกำกับ Digital Platform Services เพื่อบริการที่ทุกคนมั่นใจในทุกคลิก โดยจะเร่งเดินหน้าจัดทำมาตรฐานการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่มเติม เพื่อให้เป็น Best Practices สร้าง Self-Regulation ที่เหมาะสม พร้อมศึกษาความเสี่ยงและผลกระทบของบริการที่หลากหลายประเภทยิ่งขึ้น และเพิ่มกลไก Incentive จูงใจแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ปฏิบัติตามกฎหมาย DPS เช่น การออกเครื่องหมายรับรองและเปิดพื้นที่บูรณาการการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อขยายผล Implement กฎหมายลูก ภายใต้กฎหมาย DPS ยกระดับกลไกการกำกับดูแลบริการแพลตฟอร์มที่ทุกคนมีส่วนร่วม ผนวก 1212 ETDA เสริมความเชื่อมั่นแพลตฟอร์มดิจิทัล รองรับการร้องเรียน ให้คำแนะนำ จัดเก็บ–วิเคราะห์ข้อมูล พัฒนาแนวทางกำกับดูแล ขยายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงการรับเรื่อง แลกเปลี่ยนข้อมูล และจัดการปัญหา ตั้งแต่ เรื่องร้องเรียน แจ้งความออนไลน์ สินค้าไม่ได้มาตรฐาน จนถึงการ Take Down เนื้อหาเสี่ยง เป็นต้น

“ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า ETDA ยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่การทำธุรกรรมออนไลน์ที่รองรับสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล และในปีที่ 15 นี้ คือการเร่งเครื่องครั้งสำคัญ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า ‘ความไว้วางใจ’ คือรากฐานของทุกก้าวสู่อนาคต เราไม่เพียงร่วมผลักดันเศรษฐกิจที่เติบโต แต่ยังมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคนด้วยดิจิทัลที่โปร่งใส ปลอดภัย และเป็นธรรม...ETDA จะไม่หยุดแค่การกำกับและส่งเสริม แต่จะร่วมสร้าง Digital Trust เคียงข้างทุกภาคส่วน พาคนไทยก้าวสู่อนาคต ด้วยดิจิทัลที่ทุกคนเชื่อมั่นได้ และ #ชีวิตดีเมื่อมีดิจิทัล” ดร.ชัยชนะ กล่าวทิ้งท้าย