In News
นายกฯอนุทินประกาศ3นโยบายเร่งด่วน!! 2สมาคมธุรกิจจี้รัฐบาลใหม่ช่วยกลุ่มธุรกิจ

กรุงเทพฯ-อัปเดตตั้งครม.อนุทิน ยืนยันส่วนผ่านแล้วคาดเร็วๆนี้จบ พร้อมชงนโยบายเร่งด่วน3ด้าน ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญและการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะเดียวกัน ลูกสาว “นิพนธ์ บุญญามณี”ยื่นหนังสือปฏิเสธร่วมครม.อ้างงานยุ่ง ด้านภาคธุรกิจเอกชน สมาคมไลฟ์สไตล์ขอแรง ‘ศุภจี’หนุนไทยฮับกิฟต์อาเซียน ห่วงรัฐเมินเฉยอาจเสียตลาดแสนล้าน ขณะที่สมาคมภัตตาคารไทย ชงรัฐบาลใช้งบ 7.5 หมื่นล้าน ขยาย 'คนละครึ่ง' ครอบคลุมนิติบุคคล-ทุกกลุ่ม และ"ทีดีอาร์ไอ" เปิดความท้าทาย "รัฐบาลใหม่" อย่าให้เกิดทุจริต-เล่นพรรคเล่นพวก
นายกฯอนุทินประกาศ3นโยบายคนละครึ่ง- ชายแดน-ประชามติรธน.
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2568 ซึ่งในวันนี้เป็นวันเกิดของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคภูมิใจ อายุครบ 59 ปี โดยนายอนุทิน กล่าวถึง แถลงผลการหารือร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดทำร่างนโยบายรัฐบาล โดยประกาศจุดยืนชัดเจนที่จะปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติเป็นอันดับแรก
พร้อมเปิดเผยถึงนโยบายเร่งด่วน 3 ด้านที่รัฐบาลจะผลักดันโดยเร็วที่สุด ได้แก่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง, การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
นายกรัฐมนตรีได้แสดงจุดยืนที่หนักแน่นเกี่ยวกับประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ยอมเสียเปรียบหรือยอมให้เกิดการสูญเสียดินแดนโดยเด็ดขาด
การพิจารณาเปิดด่านชายแดนจะต้องผ่านการหารือและได้รับความเห็นชอบร่วมกัน เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ
“ผมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศอื่น ดังนั้น ผมจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นประเด็นหลัก” นายอนุทินกล่าว
พร้อมให้คำมั่นว่า “เราจะไม่ยอมเสียเปรียบกัมพูชา ไม่ยอมให้เกิดกรณีเสียดินแดน และจะไม่ปล่อยให้คนไทยตกอยู่ในอันตราย”
สำหรับนโยบายด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลมีแผนที่จะต่อยอดความสำเร็จจากโครงการ “คนละครึ่ง” และเตรียมผลักดันโครงการใหม่ในรูปแบบ “60:40”
ซึ่งจะมุ่งเน้นการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่ประชาชนที่อยู่ในระบบภาษี เพื่อให้นโยบายตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมอีก ว่า รัฐบาลชุดนี้จะเร่งดำเนินการตามนโยบายที่วางไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค โดยมีเป้าหมายสูงสุดเดียวกันคือ การสร้างความเชื่อมั่นและอำนวยประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนชาวไทยทุกคน
นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้เมื่อไหร่นั้น ว่า คาดว่าเร็วๆ นี้ ซึ่งตอนนี้รายชื่อนำส่งไปประกอบและบางส่วนทยอยส่งกลับมาแล้ว ซึ่งการตรวจสอบต้องการทำให้เกิดความชัดเจน โดยต้องส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ารายชื่อที่ส่งไปไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่าตอนนี้ชื่อของ รมว.ยุติธรรม ลงตัวแล้วหรือไม่ เพราะรัฐมนตรีคนอื่นมีการเปิดเผยชื่อออกมาหมดแล้ว นายอนุทิน กล่าวว่า ขอรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย ย้ำว่าเปิดเผยหมดทุกอย่าง ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่ลงตัวหมดแล้ว และในส่วนรมช.กลาโหม คิดว่ามีความจำเป็น แต่ส่วนจะเป็นใครขอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน
ส่วนที่พรรคประชาชนมีการตั้งคำถามว่า ชื่อของรมว.ยุติธรรม มีความสัมพันธ์กับทาง จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ย้อนถามว่า “แล้วรมว.ยุติธรรม คนปัจจุบัน มีความสัมพันธ์กับใครบ้างหรือไม่”
ลูกสาว “นิพนธ์”ปฏิเสธรับตำแหน่งรมช.พาณิชย์ อ้างงานยุ่ง
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2568 ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2568 ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีชื่อ น.ส.นิธิยา บุญญามณี บุตรสาว ถูกวางตัวเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในโควต้าภูมิใจไทย ว่า ได้แจ้งต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไปแล้วว่า บุตรสาวตัดสินใจ “ไม่ขอรับตำแหน่ง”
สาเหตุหลักมาจากภารกิจส่วนตัวในธุรกิจครอบครัวด้านอาหารสัตว์ ที่กำลังอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิต ทำให้ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังไม่สามารถหาคนมาทำงานแทนได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หากไปรับตำแหน่งอาจส่งผลกระทบต่อการบริหารธุรกิจอดีต
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีชื่อ น.ส.นิธิยา บุญญามณี บุตรสาว ถูกวางตัวเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในโควต้าภูมิใจไทย ว่า ได้แจ้งต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไปแล้วว่า บุตรสาวตัดสินใจ “ไม่ขอรับตำแหน่ง”
สาเหตุหลักมาจากภารกิจส่วนตัวในธุรกิจครอบครัวด้านอาหารสัตว์ ที่กำลังอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิต ทำให้ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังไม่สามารถหาคนมาทำงานแทนได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หากไปรับตำแหน่งอาจส่งผลกระทบต่อการบริหารธุรกิจ
สมาคมไลฟ์สไตล์ ขอแรง ‘ศุภจี’ หนุนไทยฮับกิฟต์อาเซียน
วันที่ 13 กันยายน นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย เปิดเผยว่า สมาพันธ์ฯ ประกอบด้วย 6 สมาคม ได้แก่ สมาคมเครื่องใช้ในครัวเรือนไทย สมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน สมาคมสินค้าตกแต่งบ้านและผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ สมาคมอุตสาหกรรมของเล่นไทย สมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานไทย และสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ
จะทำหนังสือขอเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ หลังจากก่อนหน้านี้รอการเข้าพบนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ซึ่งเมื่อรัฐมนตรีว่าการฯเปลี่ยนจึงต้องทำหนังสือขอเข้าพบอีกครั้ง
โดยเตรียมหารือและนำเสนอให้ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.สถานการณ์และทิศทางของผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย รวมถึงปัญหาที่ธุรกิจกำลังเผชิญกับการแข่งขันของโลก ทำให้ไทยสูญเสียความเป็นผู้นำตลาด 2.นำเสนอรูปแบบ วิธีการ การจัดงานและการทำตลาดให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน และ 3.ขอให้ทบทวนและปรับปรุงระเบียบและเงื่อนไขการสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและรายใหม่ ผ่านโครงการเอสเอ็มอี โปร แอ๊กทีฟ ( SMEs Pro-active) ของกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศดูแล และ 4.สถานการณ์อุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์ไทยหลังภาษีตอบโต้ ( Reciprocal Tariff) ของสหรัฐที่ไทยถูกเก็บ 19% และสินค้าสหรัฐเข้าไทยเสีย 0%
สมาคมภัตตาคารไทยชงรัฐบาลใช้งบ7.5หมื่นล.เพิ่ม'คนละครึ่ง'
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 25,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารและธุรกิจต่าง ๆ แต่สมาคมฯ เสนอให้พิจารณา เพิ่มงบเป็น 75,000 ล้านบาท ให้กับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เพื่อให้การสนับสนุนครอบคลุมและตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งด้านกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยให้ร้านอาหารขนาดเล็กอยู่รอดได้ในระยะยาว
'โครงการคนละครึ่ง' รอบใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แต่สมาคมฯ ได้เสนอให้รัฐบาลขยายสิทธิ์ครอบคลุมนิติบุคคลที่เป็นร้านอาหาร รวมถึงประชาชนทั่วไปตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป กลุ่มสูงวัย และกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้โครงการครอบคลุมผู้เสียภาษีทุกกลุ่ม
ในปี 2564 โครงการคนละครึ่งออกแบบเพื่อช่วยร้านค้ารายเล็ก เช่น ร้านตลาดนัด ห้องแถว หรือสตรีทฟู้ด ที่สามารถสมัครผ่านแอปถุงเงินได้ แต่ นิติบุคคลถูกตัดสิทธิ์ และอยู่ในโครงการ 'เราเที่ยวด้วยกัน' ซึ่งสามารถนำไปใช้หักภาษีได้ ทำให้ร้านอาหารบางแห่งเสียโอกาสในการใช้สิทธิ์กระตุ้นยอดขาย
สมาคมฯ เห็นว่าไม่เป็นธรรมเพราะนิติบุคคลต้องรับภาระ ค่าเช่า ค่าแรง ประกันสังคม และภาษีต่าง ๆ หากถูกกันออกไปก็ไม่สอดคล้องกับภาระที่แบกรับ ทั้งนี้ข้อเรียกร้องรอบใหม่นี้ ยังเสนอให้คนไทยทุกคนที่สมัครเข้าร่วมโครงการสามารถใช้สิทธิ์ได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
"ทีดีอาร์ไอ" เปิดความท้าทาย "รัฐบาลใหม่" อย่าให้เกิดทุจริต-เล่นพรรคเล่นพวก
วันที่ 13 ก.ย.2568 ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงข้อเสนอถึงการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ว่า นอกจากมาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เห็นว่า รัฐบาลควรเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่ไปด้วย ถึงแม้ว่าไม่ได้ทำให้ประชาชนเห็นผลงานได้ทันที แต่การปรับโครงสร้างเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศมีความสำคัญมาก และรัฐบาลก็จะได้เครดิตในฐานะผู้ริเริ่ม
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างที่สามารถทำได้ทันที และเห็นผลได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การแก้กฎระเบียบการอนุมัติ-อนุญาตต่าง ๆ ซึ่งทีดีอาร์ไอ เคยศึกษาวิจัยแล้วพบว่า หากทำในเรื่องที่สำคัญ เช่น การเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าจะมีตัวคูณทางเศรษฐกิจมหาศาล และยังแก้ปัญหาโครงสร้างได้อีกทางหนึ่งด้วย
ดร.สมเกียรติ ยังกล่าวถึงโฉมหน้า ครม.ชุดใหม่ ที่มีสัดส่วนคนนอกหลายคน ว่า เป็นบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งจากภาคธุรกิจและภาคราชการที่จะมาช่วยบริหารประเทศและบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่ามีเสียงตอบรับที่ดีจากสังคม แต่ก็ควรทบทวนรายรับรายจ่ายภาครัฐให้สมดุลกัน เพราะที่ผ่านมาภาระหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจจะถูกลดเครดิตเรตติง ซึ่งจะเกิดผลกระทบตามมาหลายอย่าง
ดังนั้น รัฐบาลต้องทบทวนว่ารายจ่ายด้านใดที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยแต่ใช้เงินมาก และตัดลดงบประมาณในส่วนที่ไม่คุ้มค่าลง ขณะเดียวกันจะต้องมีแผนในการหารายได้ที่ชัดเจน
นอกเหนือไปจากการปรับโครงสร้าง และการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ข้อควรระวังของรัฐบาลชุดใหม่ คือ อย่าให้เกิดเรื่องอื้อฉาวจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การเล่นพรรคเล่นพวก หรือการฝ่าฝืนกฎหมายของคนในรัฐบาลเอง เพราะต่อให้สร้างผลงานดีเพียงใด แต่ถ้ามีเรื่องอื้อฉาวเข้ามาก็ยากที่จะทำให้ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนได้