Biz news
สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเสนอมาตรการด่วน Quick Winต่อรัฐบาลใหม่ปลุกแรงบวก

กรุงเทพฯ-15 ก.ย.68: ในขณะที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32กำลังจัดทำนโยบายและฟอร์มทีมเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนประเทศ โดยประกาศชัดว่าจะเร่งมาตรการลดค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจ สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมองว่า3เดือนข้างหน้าเป็นจังหวะสำคัญสำหรับการออกมาตรการระยะสั้น เพื่อสร้างแรงส่งที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในภาคค้าปลีกซึ่งมีมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท และเป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมโยงการผลิต การบริการ และการจ้างงานนับล้านชีวิต สมาคมฯ จึงขอนำเสนอนโยบาย Quick Win เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาล
นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “สมาคมผู้ค้าปลีกไทยขอแสดงความยินดีกับคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เชื่อมั่นว่ารัฐบาลใหม่และทีมงานที่มีศักยภาพ มีความพร้อมกำหนดแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าอย่างมั่นคง โดยสมาคมฯ เห็นว่ามาตรการที่จะเกิดผลจริงต้องครอบคลุม ตรงเป้า และเห็นผลชัดเจน ไม่เพียงช่วยผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุน SMEs เกษตรกร แรงงาน และธุรกิจทุกระดับ เพื่อสร้างงาน เพิ่มกำลังซื้อ และกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ ดังนั้น สมาคมฯ จึงขอเสนอชุดมาตรการเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีและคาดว่าจะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม
- กระตุ้นการจับจ่าย เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน (Spending Boost)
เพื่อสร้าง Multiplier Effect หรือผลกระทบเชิงเศรษฐกิจเชื่อมโยงหลายทอด สมาคมฯ ขอเสนอมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายในช่วง 3เดือนสุดท้ายของปีทันที
- โครงการ “คนละครึ่ง”:สมาคมฯ เห็นว่ามาตรการ “คนละครึ่ง” เวอร์ชันอัปเกรด จะเป็น “ยาแรง” ที่ช่วยอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง และเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนาน โดยสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนและกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ สมาคมฯขอเสนอให้ขยายผลครอบคลุมทุกประเภทร้านค้าเพื่อเพิ่มทางเลือกและสร้างความสะดวกในการจับจ่ายของประชาชนได้ทุกที่ที่ต้องการโดยไม่มีเงื่อนไขซับซ้อนพร้อมทั้งเสนอให้ปรับเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวันจาก 150 บาท เป็น 300 บาทโดยกำหนดวงเงินเดือนละ 1,500 บาทเป็นเวลา 2 เดือน (ตุลาคม-พฤศจิกายน)เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบัน
- โครงการ“Easy e-Receipt” เฟส 2ควรเดินหน้าโครงการ “Easy e-Receipt” เฟส 2 ปลายปีนี้เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายช่วงไฮซีซั่น สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ลงทะเบียนในระบบ โดยจำกัดวงเงินสูงสุด 100,000 บาทต่อคน และมีระยะเวลาโครงการ 3 เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม)โดยปรับเงื่อนไขให้เข้าร่วมสะดวกขึ้น ครอบคลุมหมวดสินค้าทั่วไป สินค้า OTOP และสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 100,000 ล้านบาทเพิ่มรายได้ให้ ร้านค้า และส่งเสริมให้ ร้านค้า เข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัลซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
2. ส่งเสริมไทยเป็นสวรรค์แห่งการช้อปสำหรับนักท่องเที่ยว (Shopping Paradise)
เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวและสร้างความสามารถในการแข่งขันกับภูมิภาคสมาคมฯ เสนอมาตรการดังนี้
- ลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์สูงถึง 20–30% สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง มีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์เท่ากับ 0% สมาคมฯ ขอเสนอให้ภาครัฐลดอัตราภาษีนำเข้าลงเหลือราว 10–15% เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในการช้อปปิ้งนอกเหนือจากการท่องเที่ยวชมธรรมชาติ วัฒนธรรม และสถานที่สำคัญของไทย
- มาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบทันที (Instant VAT Refund)ทดลองคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ณ ร้านค้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อขั้นต่ำ 3,000 บาทโดยเริ่มจากร้านค้าสมาชิกในย่านช้อปปิ้งหลักของกรุงเทพฯ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายทันทีเพิ่มโอกาสในการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
- ขยายระยะเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียเสนอขยายระยะเวลาวีซ่าจาก 30 วัน เป็น 45-60วันซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและกระจายรายได้สู่ภาคท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นกลุ่มคุณภาพที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงและนิยมพำนักระยะยาว
3. กระตุ้นการจ้างงานและเสริมกำลังแรงงาน
- การจ้างงานรายชั่วโมงช่วยลดปัญหาการว่างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา ผู้สูงอายุ และแรงงานนอกระบบ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการค้าปลีกจะสามารถบริหารต้นทุนแรงงานได้คล่องตัวมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในช่วงเวลาที่มีลูกค้าหนาแน่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน กระจายรายได้ และเสริมความแข็งแกร่งให้ตลาดแรงงานไทย
สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเชื่อมั่นว่า มาตรการเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยภาคค้าปลีก แต่ยังสร้างประโยชน์ต่อผู้ผลิต SMEs เกษตรกร แรงงาน และผู้บริโภคทุกกลุ่ม ก่อให้เกิดแรงส่งเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง สมาคมฯ พร้อมทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงภาคค้าปลีกกับรัฐบาล เพื่อผลักดันให้มาตรการเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน.