In News
เปิดประเด็นภาคการค้า-อสังหาฯส่งตรงถึง นายกฯอนุทินเร่งแก้ในกรอบเวลา4เดือน

กรุงเทพฯ-หอการค้าชง6เรื่องร้อนรอถกนายกฯอนุทินวันนี้ ทั้งบาทแข็ง คนละครึ่ง หนุนปล่อยกู้อาชีพอิสระ หนุนเราเที่ยวด้วยกันกระตุ้นโลซีซั่นส์ กลุ่มค้าปลีกเสนอ 3 Quick Win กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเร่งแก้บาทแข็ง แก้ไข้การควบคุมยาและรักษารพ.เอกชน ด้านอสังหาฯ-ก่อสร้าง ชงรัฐบาลต้องการความต่อเนื่องมาตรการ ลดค่าโอน –ภาษีที่ดิน
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 18 กันยายนนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะนำคณะพบปะและประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารของหอการค้าฯ และสภาหอฯ ณ หอการค้าไทย เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงรับทราบถึงปัญหาของหอการค้าทั่วประเทศ ที่จะมีการนำเสนอมาตรการเร่งด่วนต่อรัฐบาลชุดใหม่ที่ได้รวบรวมข้อมูลจากหอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้า 15 กลุ่มคลัสเตอร์ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อให้รัฐบาลได้เร่งขับเคลื่อนต่อไป
แหล่งข่าวจากหอการค้าไทยเปิดเผยว่า ในการพบและประชุมร่วมกับผู้บริหารของหอการค้าฯ และสภาหอการค้าฯในครั้งนี้ ภาคเอกชนจากสมาคมการค้าต่าง ๆ ได้รวบรวมประเด็นข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนต่อรัฐบาลชุดใหม่ โดยประเด็นที่เป็นปัญหาร่วมที่อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไข เช่น ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อลดความผันผวนและป้องกันค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไป โดยเวลานี้แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี แตะระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบมากต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกไทย อยากให้ช่วยกำกับดูแลให้อ่อนค่าลงสู่ระดับที่แข่งขันได้ เช่น 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้เสนอให้พัก/รีไฟแนนซ์หนี้สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อที่ลดลง การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี การเร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป(อียู) และการเปิดตลาดใหม่ ๆ รวมถึงการลดค่าไฟฟ้าและพลังงาน เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังมีข้อเสนอสำคัญของสมาคมการค้าต่าง ๆ ในการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชน
โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเสนอโครงการ “คนละครึ่ง” วงเงินค่าใช้จ่าย 1,500 บาทต่อเดือนระยะเวลา ต.ค.-พ.ย.2568, โครงการ Easy E-Receipt เฟส 2 เสนอวงเงิน 1 แสนบาท (รวมทุกหมวดสินค้า) ระยะเวลา พ.ย.-ธ.ค. 2568,โครงการ “รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง” สนับสนุนการจ้างงานใหม่โดยรัฐร่วมจ่ายเงินเดือน 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน (แต่เกิน 7,500 บาทต่อคน) เป็นต้น
ส่วน สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร / สมาคมอาคารชุดไทย/สมาคมอสังหา ริมทรัพย์ไทย /สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน/สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมถ์ เสนอมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัย โดยขอให้ปรับลดหย่อนมาตรการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยปรับลดอัตราภาษีลงไม่น้อยกว่า 50% โดยเฉพาะในปี 2569 หรือจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจกิจจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว
การลดต้นทุนผู้ประกอบการอสังหาฯและภาคก่อสร้าง เสนอให้ลดภาษีนำเข้าวัสดุก่อสร้างบางรายการที่ไม่มีการผลิตในประเทศ เช่น เหล็กพิเศษ กระจกคุณภาพสูง และอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และขอให้โครงการลงทุนสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานได้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณก่อสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น ถนน รถไฟ ท่าเรือ ระบบสาธารณูปโภคภายใน 6-8 เดือน และจัดทำโครงการ PPP ขนาดเล็ก-กลาง ที่สามารถเริ่มประมูลและลงนามได้เร็ว เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน โครงการสมาร์ทซิตี้ เป็นต้น
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย และประธานสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว สุขภาพ MICE และ กีฬา เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้เตรียมนำเสนอ 4 มาตรการเร่งด่วนต่อรัฐบาลใหม่โดยเน้นมาตรการที่ดำเนินการได้ทันที และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจและประชาชนได้แก่
1.เร่งสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยนักท่องเที่ยวจีน โดยเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจท่องเที่ยว และกระทรวงดิจิทัลฯ จัดตั้งศูนย์แถลงข่าวสาร และนโยบายในการปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์ การหลอกลวงนักท่องเที่ยว และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว โดยแถลงข่าวเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อย้ำภาพลักษณ์ความปลอดภัย
2.เชิญผู้นำระดับสูงของจีนเยือนไทย โดยขอให้กระทรวงการต่างประเทศเชิญผู้นำระดับสูงของจีนมางานสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และฟื้นความเชื่อมั่นผ่านงาน Thailand-China Expo
3.แก้ปัญหาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึก เพื่อเปิดทางให้บริษัทประกันท่องเที่ยวกลับมาคุ้มครองนักเดินทาง พร้อมขอซอฟต์โลนและมาตรการภาษีช่วยโรงแรมในพื้นที่ชายแดน
4.กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซัน เสนอให้รัฐบาลเตรียมงบและแผนล่วงหน้า สำหรับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” รอบใหม่ เริ่ม 1 พ.ค. 2569 โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย 40-50% ผ่านแอปฯ เป๋าตังและถุงเงิน ทั้งนี้ ข้อเสนอทั้งหมดมุ่งหวังให้รัฐบาลใหม่เดินหน้าโดยเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและกระตุ้นการท่องเที่ยวในทุกมิติ
ด้านนายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอ 3 มาตรการเร่งด่วนที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที เพื่อฟื้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่
1.กระตุ้นการใช้จ่าย เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน (Spending Boost) ผ่านโครงการ “คนละครึ่ง เวอร์ชันอัปเกรด” โดยปรับเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวันจาก 150 บาทเป็น 300 บาท กำหนดวงเงินรวมเดือนละ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน (ต.ค.-พ.ย.) และ “Easy e-Receipt” เฟส 2 กระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการในช่วงไฮซีซั่น (ต.ค.-ธ.ค.)วงเงินสูงสุด 1 แสนบาทต่อคน ครอบคลุมสินค้าทั่วไป OTOP และสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คาดกระตุ้นเงินหมุนเวียนกว่าแสนล้านบาท
2.ดันไทยเป็นสวรรค์นักช้อป (Shopping Paradise) เสนอปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จาก 20-30% เหลือ 10-15%, และทดลองมาตรการคืนภาษี VAT ทันที 7% สำหรับการซื้อขั้นต่ำ 3,000 บาท ณ ร้านสมาชิกในย่านช้อปปิ้งหลักของกรุงเทพฯและขยายเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียจาก 30 วัน เป็น เป็น 45-60 วัน
3.มาตรการกระตุ้นการจ้างงานและเสริมกำลังแรงงาน เสนอเปิดจ้างงานรายชั่วโมง เปิดโอกาสนักศึกษา ผู้สูงอายุ และแรงงานนอกระบบ ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพบริการ
นายณัฐระบุว่า มาตรการเหล่านี้จะส่งผลเชิงบวกครอบคลุมทั้งผู้ผลิต แรงงาน SMEs และผู้บริโภค พร้อมย้ำสมาคมฯ พร้อมเป็นตัวกลางเชื่อมภาคเอกชนกับรัฐบาล
ขณะที่ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานสมาคมการค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วน หรือ Quick Win ที่ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่ม ต้องการให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเวลานี้ คือ เงินบาทที่แข็งค่ามากที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันการส่งออกสินค้าไทยมาก เฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูป หรืออาหารสำเร็จรูป ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก รวมถึงพืชผัก ผลไม้ต่าง ๆ
“เรื่องเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เวลานี้ภาคการส่งออกของไทยเหนื่อยมาก เฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าอาหาร และผักผลไม้พวกนี้ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก และมีมาร์จิ้นหรือกำไรไม่มาก ซึ่งแม้ว่าเราจะปิดดีลการเจรจาภาษีกับสหรัฐได้ที่ 19% ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านทำให้ไม่เสียเปรียบในเรื่องนี้มาก แต่พอมาเจอเงินบาทแข็งค่ามากกว่าชาวบ้านเราสู้ไม่ไหว ดังนั้นขอให้รัฐบาล Quick Win โดยแก้ปัญหานี้เป็นอันดับแรก และะหากรัฐบาลจะมีโครงการครนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน เที่ยวไทยด้วยกัน หรือมีโครงการอื่น ๆ เราก็เห็นด้วย และขอให้เร่งดำเนินการ”
ด้าน นายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้แสดงความกังวลต่อนโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาลใหม่ที่อาจเน้นผลลัพธ์เร็ว แต่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริงของโรงพยาบาลเอกชน เช่น การควบคุมราคาค่ารักษาและค่ายา
ทั้งนี้เสนอให้มีตัวแทนภาคเอกชนร่วมในคณะกรรมการด้านนโยบายสุขภาพ เพื่อสะท้อนความแตกต่างของโรงพยาบาลแต่ละประเภท และเรียกร้องให้รัฐเข้าใจต้นทุนและโครงสร้างของโรงพยาบาลเอกชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในระบบประกันสังคมที่แม้ปรับดีขึ้นแต่ยังเผชิญข้อจำกัดงบประมาณ
อสังหาฯ-ก่อสร้าง ชงรัฐบาลรุกมาตรการ ลดค่าโอน –ภาษีที่ดิน
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า เวลานี้ไม่ใช่จังหวะที่จะรอคอยมาตรการระยะยาว แต่ต้องการการ “ฉีดยาแรง” ระยะสั้น เพื่อสร้างแรงกระตุ้นเชิงจิตวิทยาให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจซื้อก่อนสิ้นปี โดยมาตรการที่เสนอคือให้ครอบคลุมทุกระดับราคา ไม่จำกัดเฉพาะบ้านตํ่ากว่า 7 ล้านบาทเหมือนที่ผ่านมา เพราะตัวเลขล่าสุดชี้ชัดว่า ตลาดตํ่ากว่า 7 ล้านบาท “กระตุ้นไม่ขึ้น” ตรงกันข้ามกลับเป็นตลาดระดับกลางบนที่ยังพอมีแรงซื้อ หากได้รับแรงหนุนที่เหมาะสม
“วันนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ตัวเลขความเชื่อมั่นและยอดขายในกลุ่มตํ่ากว่า 7 ล้านบาทยังติดลบ ทั้งที่เคยหวังว่าจะเป็นตลาดหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมและมูลค่าหลักประกันในระบบการเงิน”
ข้อมูลจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ายอดขายทั้งอุตสาหกรรมยังตํ่ากว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี และยอดโอนทรัพย์สินติดลบกว่า 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมใหม่แทบหยุดชะงัก ยอดเปิดโครงการใหม่ลดลงกว่า 90%
อย่างไรก็ตาม สัญญาณเริ่มเปลี่ยนไปในไตรมาส 3 เมื่อผู้ประกอบการรายใหญ่บางราย เช่น แสนสิริ และศุภาลัย เริ่มกลับมาเปิดโครงการใหม่อีกครั้ง แม้จะต้องลดราคาลงสู่ระดับใกล้เคียงเมื่อ 10 ปีก่อน เพื่อดูดซับกำลังซื้อที่จำกัด
นายประเสริฐอธิบายว่า ที่ผ่านมารัฐได้ปลดล็อก LTV และเสริมด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.5% พร้อมกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยจริง ทั้ง MLR, MRR และ MOR ลงมา จะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน และสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยทันที
นอกจากนี้ อีกหนึ่งข้อเสนอสำคัญของ 3 สมาคมฯคือให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใช้การประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้เป็น “กระสุนนัดสำคัญ” โดยเสนอว่าควรปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 0.5% เพื่อส่งสัญญาณชัดเจนไปยังตลาดเงินและธนาคารพาณิชย์ หากทำได้จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ดอกเบี้ยเชื่อมโยงกับสินเชื่อบ้านปรับลงเต็มอัตราในทันที แตกต่างจากที่ผ่านมา ที่การปรับลดมักสะท้อนถึงผู้กู้เพียงบางส่วน
นายประเสริฐกล่าวอีกว่า ดอกเบี้ยบ้านวันนี้เป็นอัตราที่ถูกที่สุดเป็นปรากฏการณ์ อาจจะตํ่ากว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้เอกชนระดับเรตติ้งเอบางแห่ง หากภาครัฐส่งสัญญาณแรงกว่านี้เชื่อว่าจะเกิดการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ในการแย่งชิงลูกค้าเครดิตดี และช่วยขยายพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น
“ภาคอสังหาริมทรัพย์นับเป็นสัดส่วน 8-12% ต่อ GDP และเกี่ยวข้องกับการจ้างงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง อีกทั้งยังเชื่อมโยงโดยตรงกับระบบการเงินผ่านมูลค่าหลักประกันในสินเชื่อบ้าน การปล่อยให้ตลาดทรุดต่อเนื่องจึงไม่เพียงกระทบผู้ประกอบการ แต่ยังอาจกระทบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม จึงเป็นที่น่าจับตามองว่ารัฐบาลใหม่จะใช้มาตรการ “อัดฉีด” เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่”
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด ทั้ง 3 สมาคมอสังหาฯยังได้ร่วมกันจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 48 ซึ่ง 3 สมาคมอสังหาฯ ร่วมกันจัดขึ้นในปลายปีนี้ จึงถูกมองว่าเป็นเวทีสำคัญในการวัดอุณหภูมิตลาด และอาจกลายเป็น “แรงขับเคลื่อน” สำคัญหากมาตรการรัฐออกมาทันเวลา
โดยปีนี้ยอดจองบูธทะลุเต็มพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร มากที่สุดในรอบ 10 ปี ผู้ประกอบการกว่า 150 บริษัท ขนโครงการกว่า 1,000 โครงการเข้าร่วม พร้อมโปรโมชั่นแรงที่สุดในรอบทศวรรษ ทั้งส่วนลด ของแถม และเงื่อนไขสินเชื่อพิเศษจากธนาคารพาณิชย์ ดอกเบี้ยตํ่า อนุมัติเร็ว เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อทันที
อีกทั้งยังมีโครงการพร้อมอยู่ทั่วประเทศที่ลดราคาครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นการปิดการขายทันที นอกจากนี้ งานยังใช้แนวคิด “New Marketplaces, Serve Supply on Every Demand” และกลยุทธ์ “Fast Track-ทางด่วนคนอยากมีบ้าน” เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ซื้อบ้านหลังแรก ครอบครัวที่ต้องการขยับขยาย ไปจนถึงนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์เพื่อการลงทุน
การจัดงานยังมีการปรับตัวของผู้ประกอบการที่หันมาเจาะตลาดต่างชาติ ด้วยการสื่อสารหลายภาษา ทั้งไทย อังกฤษ และจีน เพื่อรองรับดีมานด์จากนักลงทุนภูมิภาค แม้ลูกค้าต่างชาติยังไม่กลับมามากเท่าเดิม แต่ก็ถือเป็นการวางรากฐานตลาดในอนาคต โดยภาพรวมผู้จัดงานคาดหวังว่างานครั้งนี้จะสร้างยอดจองรวมไม่ตํ่ากว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเคยทำสถิติสูงสุดกว่า 20,000 ล้านบาท และที่สำคัญคือการสร้างแรงกระเพื่อมให้ตลาดอสังหาฯ ไทยเดินหน้าต่อในปี 2569 ด้วยความมั่นใจมากขึ้น
นายองคฤทธิ์ พรหมโยธี ประธานจัดงาน เปิดเผยว่า “แม้ตลาดอสังหาฯ ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่สัญญาณเริ่มชัดว่าการติดลบจะลดลง ปัจจัยบวกจากดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง มาตรการรัฐด้านค่าธรรมเนียมและ LTV ล้วนหนุนให้ผู้บริโภคกลับมาตัดสินใจซื้อมากขึ้น งานนี้จึงเป็นตัวเร่งสำคัญของตลาดปลายปี”
โดยภาพรวมแล้ว ท่ามกลางความหวังของภาคอสังหาฯ จึงอยู่ที่รัฐบาลและแบงก์ชาติ ว่าจะยอม “กดยาแรง” ตามข้อเสนอของสมาคมหรือไม่ ถ้าหากทำได้ทันในช่วงสั้นๆ 4 เดือนนี้ เชื่อว่าจะไม่เพียงพยุงตลาดจากจุดตํ่าสุด แต่ยังสร้างโมเมนตัมความเชื่อมั่นต่อเนื่องให้ก้าวเข้าสู่การฟื้นตัวไปจนถึงปี 2569
ท่ามกลางเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว มีผลต่อกำลังซื้อหดตัวลง ภาคเอกชน นำโดยสภาหอการค้าไทย รวบรวมข้อเสนอต่อรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ทั้ง15คลัสเตอร์ ในวันที่18 กันยายน โดยภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างหนึ่งในคลัสเตอร์สำคัญที่รัฐบาลใหม่ต้องสานต่อ จากรัฐบาลชุดก่อนรวมถึงมาตรการใหม่เพื่อพยุงให้ตลาดนี้เดินหน้าต่อไปได้
ด้านนายอิสระ บุญยัง ประธานสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่าต้องการเห็นความต่อเนื่องของมาตการ ทั้งการค้ำประกันสินเชื่อ Mortgage Insurance ซึ่งเป็นรูปแบบองค์กรคนกลางค้ำประกัน หรือ รูปแบบบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน20%
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินพิจารณาปล่อยสินเชื่อ ซึ่ง เป็นจังหวะรัฐบาลชุดเก่าพ้นวาระต้องเสนอรัฐบาลใหม่นับหนึ่งพิจารณา เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เนื่องจากสิ่งสำคัญแบงก์พาณิชย์ ไม่มั่นใจปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น จึงเป็นภาระของธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) มากเกินไป
นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐบาลใหม่ผลักดันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่ม อาชีพอิสระที่ทีกำลังซื้อจริง สามารถได้รับสินเชื่อ เต็ม100%เท่ากับ กลุ่มข้าราชการ และกลุ่มตกสกอร์
เช่น การผ่านพ้นการติดเครดิตบูโรแล้วแต่ยังไม่นำชื่อออก ทำให้ไม่สามารถกู้เพิ่มหรือซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ได้ ฯลฯหรือการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายที่ทำงานใหม่ เมื่อยื่นขอสินเชื่อ ต้องรอพิจารณานานถึง 1-2ปีจากเดิม ใช้เวลาเพียง6เดือนส่งผลให้คนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเนื่องจากรัฐบาลมีอายุเพียง4เดือน เสนอรัฐบาล ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องเช่น 1.ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่จำกัดราคาบ้าน 2.นำมาตรการบ้านดีมีดาวน์ของธอส.มาใช้ต่อเนื่อง 3.ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองสำหรับบ้านราคาเกิน7ล้านบาทหรือ7ล้านบาทแรก ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง50%ในปี2569 เป็นต้น
ในส่วนภาคก่อสร้าง เสนอให้เร่งรัดเบิกจ่ายค่าเค ให้กับผู้รับเหมา สถาบันการเงินผ่อนปรนปล่อยสินเชื่อ ส่วนภาคคอนกรีต เสนอแก้กฎระเบียบให้ใช้วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ ที่ผลิตในไทย
เนื่องจากที่ผ่านมาพบปัญหานักลงทุนต่างชาติบางประเทศ มีการนำอุปกรณ์แรงงาน วัสดุก่อสร้างของตนเองเข้ามาใช้ในประเทศ กระทบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในไทยและรัฐต้องสูญเสียรายได้โดยเฉพาะภาษี ขณะเดียวกันต้องการให้รัฐบาลเข้มงวดกวดขันเรื่องนอมินี ที่ก่อให้เกิดการครอบครองที่ดินและซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ขัดต่อกฎหมาย