In News

นายกฯไฟเขียมทบ.จัดเต็มเขมรบุกรื้อรั้ว สร้างกำแพงส่อวืดมีคนค้านกลัวเสียพื้นที่



กรุงเทพฯ-สถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-เขมรระอุอีกรอบที่บริเวณบ้านบ้านหนองหญ้าแก้ว คนเขมรแห่รื้อหลวดหนาม ทำให้ตำรวจคุมฝูงชนต้องสลายผู้ชมนุมตำรวจได้รับบาดเจ็บ 4 นาย วันนี้ได้ระดับตำรวจคุมฝูงชนจาก3จังหวัดร่วมปฏิบัติการ ขณะที่นายกฯไฟเขียวให้ทบ.จัดการเต็มที่ ด้านทบ.ออกโรงประมาญกัมพูชาบิดเบือนข้อเท็จจริงระเมิดการหยุดยิง4ข้อ และสุดบิ๊กเล็กเผยความคืบหน้าสร้างรั้วส่อสะดุด! มีบางฝ่ายอ้างกลัวเสียดินแดน

ตำรวจเผยการเข้าควบคุมสถานการณ์ตำรวจเจ็บ4รายพร้อมเสริมกำลัง

18 ก.ย. พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วานนี้ (17 ก.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงานจากกองร้อยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดน 4 ชุดควบคุมตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 (ร้อย ฉก.ตชด.4(ชค.ตชด.12)) กรณีเหตุการณ์บริเวณจุดปฏิบัติการที่ 34 กองร้อยทหารพรานที่ 1301 (ร้อย ทพ.1301) บ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว

โดยเวลา 14.30 น. หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 12 พร้อมด้วยชุดควบคุมฝูงชนจังหวัดสระแก้ว, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอโคกสูง, เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ.1301 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ร้อย ฉก.ตชด.1-4 ได้ดำเนินการลงพื้นที่ไปติดตั้งลวดหนามหีบเพลงบริเวณดังกล่าว

จากนั้นเวลา 15.00 น. ได้มีผู้ชุมนุมฝ่ายกัมพูชาประมาณ 200 คน เข้ามาขัดขวางและพยายามรื้อลวดหนามหีบเพลงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เตือนให้หยุดการกระทำ จึงทำให้ประชาชนฝั่งกัมพูชาไม่พอใจ

จากนั้นเวลา 16.00 น.ประชาชนฝั่งกัมพูชาได้ต่อว่าเจ้าหน้าที่และได้ปาก้อนหิน ท่อนไม้ ใส่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ชุดควบคุมฝูงชนจังหวัดสระแก้ว และฝ่ายปกครองอำเภอโคกสูง จึงได้ใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง เพื่อผลักดันให้ประชาชนฝั่งกัมพูชาได้ร่นถอยออกจากพื้นที่ดังกล่าว

ต่อมาเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้ดำเนินการเสริมความมั่นคง โดยการวางลวดหนามหีบเพลงเพิ่มเติม และใช้ยางรถยนต์ประกอบ รวมถึงควบคุมการประท้วงด้วยแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และเครื่อง LRAD เพื่อให้ผู้ชุมนุมถอยออกจากพื้นที่

จากการเข้าควบคุมเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจำนวน 4 นาย ได้แก่ พ.ต.ท.สมัชญ์ นาคพน รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.คลองลึก, ด.ต.แสงอรุณ ศรีวงศ์จันทร์ ผู้บังคับหมู่ฝ่ายปราบปราม สภ.คลองลึก, ด.ต.ศักดิ์สิทธิ์ นพเกล้า ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว และ จ.ส.ต.ชยันต์ เบ้าทอง ผู้บังคับหมู่ฝ่ายปราบปราม สภ.อรัญประเทศ

ทั้งนี้ ยืนยันว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าระงับเหตุ และใช้เครื่องมือที่เน้นการผลักดันเพื่อระงับเหตุจลาจลนั้น เป็นไปตามหลักสากล และเหมาะสมต่อสถานการณ์ โดยสถานการณ์ดังกล่าวถือว่ามวลชนกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย ขัดขวางการปฏิบัติงานและทำลายสิ่งของของเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายของประเทศไทย

จับตา! มวลชนเขมรแจกหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาหวังป่วนไทยอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางฝั่งประเทศกัมพูชา ที่บริเวณหมู่บ้านไปร์จัน มีกลุ่มบุคคลสวมชุดพลเรือน โดยคาดว่าน่าจะเป็นทางเจ้าหน้าที่ของทางฝั่งกัมพูชา ได้มีการตระเตรียม หน้ากากอนามัย ที่ใช้ป้องกันแก๊สน้ำตาจำนวนมาก มาแจกจ่ายให้มวลชน ที่ได้ระดมกันมาเพื่อป้องกันแก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย

ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ได้ใช้ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว จำนวน 2 กองร้อย และได้ประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนจากจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเสริมกำลังกับเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนของตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบ และสามารถวางแนวลวดหนามได้ตามนโยบายไม่ให้ชาวเขมรลุกล้ำธิปไตยของไทยได้ต่อไป

นายกฯ ย้ำให้เกียรติทหาร มอบกองทัพให้จัดเต็ม/เมินเปิดด่าน

ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีทหารไทยปะทะชาวกัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ว่า ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายการทหารเป็นผู้ดำเนินการและชี้แจง เราต้องเคารพซึ่งกันและกัน

พื้นที่ตรงนั้นเป็นเขตที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ดังนั้น อำนาจการตัดสินใจจึงอยู่ที่ฝ่ายการทหาร ซึ่งตนเองขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปบริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ แต่ได้ให้คำมั่นสัญญากับผู้ที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงว่า หากรัฐบาลนี้เข้าไปแล้ว เรื่องการดำเนินการด้านความมั่นคง เราจะรับฟังผู้ที่อยู่ชายแดนและผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น การเปิดด่าน อย่าไปคาดเดา เพราะในขณะนี้ยังไม่มี

ส่วนกรณีนาย ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้เขียนจดหมายถึงประธานอาเซียน และผู้นำโลก นายอนุทิน กล่าวว่า ผู้นำประเทศไหนก็ต้องรักษาประโยชน์ของประเทศนั้น เช่นเดียวกับผู้นำของประเทศไทย ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยเหนือประเทศอื่น และเหนือเหตุผลอื่นๆ

ประโยชน์ของประเทศไทย ก็คือความผาสุก ความมั่นคงของประเทศ อธิปไตย รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเรายึดถือกรอบนี้และหลักนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ทบ.โต้กลับกัมพูชา บิดเบือนข้อเท็จจริง 4 ข้อ

จากกรณีเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2568 นาย เพน โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชา และ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงข่าวประเด็นสถานการณ์ตึงเครียด บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาชี้แจงต่อแถลงการณ์ดังกล่าว ซึ่งพบว่ามีเนื้อหาบิดเบือนความจริงในหลายประเด็น ดังนี้

1. กรณีอ้างว่าชาวกัมพูชาเหล่านี้ กำลังออกไปปกป้องที่ดินตามกฎหมายของตน จากการถูกละเมิดโดยฝ่ายไทยว่ากระทรวงการต่างประเทศเรียกร้องกัมพูชายุติการปลุกระดมยั่วยุ กองทัพภาคที่ 1 สรุปเหตุการณ์ “บ้านหนองหญ้าแก้ว” ใช้มาตรการเบาไปหาหนัก

ที่ดินบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแดนประเทศไทยอย่างชัดเจน อีกทั้งไม่ได้อยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ของกัมพูชาแต่อย่างใด ชาวบ้านกัมพูชากลุ่มดังกล่าวได้เจตนารุกล้ำเข้ามาอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายในเขตดินแดนของประเทศไทยมาเป็นเวลานาน โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชารู้เห็นและทราบมาโดยตลอด ซึ่งฝ่ายไทยได้เคยทำการประท้วงหลายครั้งในทุกระดับ แต่ฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉย ไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด และด้วยจุดเกิดเหตุเป็นเขตพื้นที่ของประเทศไทยชัดเจน  ผู้ปฏิบัติหลักจึงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองประจำพื้นที่ มิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร อย่างที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือนสายตาชาวโลก

2. กรณีกล่าวถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยยิงกระสุนยาง และระเบิดควันใส่พลเมืองกัมพูชา และใช้อุปกรณ์เครื่องเสียงทำลายแก้วหูและสมอง พล.ต.วินธัย กล่าวว่า สำหรับกรณีนี้ เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนหลักสากล ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง เมื่อการพูดคุยเจรจาอย่างสันติวิธีไม่ได้ผล  ทั้งนี้เพื่อต้องการควบคุมฝูงชนชาวกัมพูชาที่มีลักษณะท่าทีที่ก้าวร้าว แสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรง โดยส่วนใหญ่พกพาท่อนไม้ยาวเพื่อใช้เป็นสิ่งเทียมอาวุธ และมีท่าทีที่จะทำร้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย รวมถึงบุกทำลายสิ่งกีดขวางของทางการไทย

3.กรณีขอประณามความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ไทยกระทำต่อประชาชนและพระสงฆ์กัมพูชา โดยเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทยยุติการละเมิดและความรุนแรงเหล่านี้ กรณีดังกล่าวฝ่ายไทยขอประณามเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาที่มิได้มีท่าทีจริงใจต่อการแก้ปัญหาการชุมนุม และขอประณามผู้ชุมนุมชาวกัมพูชาที่พยายามใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง เพื่อป้องกันตนเองและระงับเหตุเฉพาะหน้า

4.กรณีเรียกร้องให้ฝ่ายไทยเคารพข้อตกลงหยุดยิง และพยายามแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี โดยยึดหลักสากล ข้อตกลงที่มีต่อกัน และกฎหมายระหว่างประเทศที่มีอยู่ ต่อกรณีดังกล่าว ชัดเจนว่าเป็นฝ่ายกัมพูชาที่ไม่เคารพข้อตกลงหยุดยิง ด้วยการยั่วสนับสนุนให้มวลชนมารุกล้ำดินแดนไทย และบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร เพื่อหวังให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของฝ่ายไทย การดำเนินการของฝ่ายไทยเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ฝ่ายกัมพูชาเจตนาสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยความอดทนอดกลั้น เพื่อพยายามแก้ไขการเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรง ที่อาจพัฒนานำไปสู่ความขัดแย้งทางอาวุธครั้งใหม่

โฆษกกองทัพบก ได้ย้ำว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตไทย การที่ชาวกัมพูชาบุกรุกเข้ามาทำลายสิ่งของทางราชการ และก่อการจลาจลบนแผ่นดินไทย เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงต้องถูกดำเนินการตามกระบวนการ และยืนยันการดำเนินการของฝ่ายไทยเป็นไปตามขั้นตอนตั้งแต่การเจรจา แจ้งเตือน และควบคุมการจลาจลตามหลักสากลโดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับฝ่ายปกครอง ที่สำคัญพบว่าเจ้าหน้าที่ทหารของกัมพูชาที่ร่วมในเหตุการณ์กลับไม่ห้ามปราม และมีท่าทีสนับสนุนการจลาจล

ทภ.1 เดือด จี้ ผู้นำกัมพูชา เลิกหลบหลังผู้หญิง

ที่กองทัพภาคที่ 1 พลตรี สุรวิชญ์ แดงจันทร์ โฆษกกองทัพภาคที่ 1 แถลงข่าว เหตุการณ์ชาวกัมพูชา บุกรื้อรั้วลวดหนาม บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว และทำร้ายเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน(คฝ.) จึงมีการใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ว่าเหตุการณ์ แสดงให้ได้เห็นว่ากัมพูชามีความจริงใจหรือไม่ ที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงในการประชุมทวิภาคีระดับต่างๆ แต่เหตุการณ์บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน ที่ผ่านมา กลับใช้การยั่วยุ​ ระดมมวลชน เด็ก​ ผู้หญิง พระสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องที่อารยประเทศปฏิบัติต่อกัน

"ผมขอประณามผู้นำประเทศกัมพูชา ที่ปล่อยให้เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้น ในพื้นที่อธิปไตยของไทย โดยใช้เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ยั่วยุ ต้องการสร้างภาพว่าฝ่ายไทยปฏิบัติการทำร้าย โดยไม่สนใจความรู้สึก หรือร่างกายของประชาชนตัวเอง ให้เข้ามารุกล้ำอธิปไตยไทย ขออย่ามายั่วยุอีก และเลิกยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงได้แล้ว ซึ่งมีการประกาศกติกาสากลอยู่แล้ว​ และขอฝากไปถึงพระสงฆ์กัมพูชา หากจะมาแสดงเช่นนี้ขอให้กลับไปสึกเสียดีกว่า แล้วไปสมัครมาเป็นทหาร แล้วมาปฏิบัติต่อกัน ยืนยันว่าเราไม่หลงกล และรู้ว่าจะใช้วิธีนี้ เราจึงเตรียมกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชน​ไว้ "พลตรี สุรวิชญ์ กล่าวและว่า

ทั้งหมดนี้คือ ละคร กัมพูชาสร้างละครไม่จบไม่สิ้น ตนอยากฝากถามถึงความจริงใจผู้นำกัมพูชา โดยเฉพาะการปฏิบัติตามข้อตกลง อย่าให้เป็นแค่กระดาษหรือคำเขียนแต่จะต้องนำมาสู่การปฏิบัติ 

"กองทัพภาคที่ 1 ไม่ได้หวั่นไหวหรือหวั่นใจ ทุกอย่าง เราเป็นผู้ใหญ่ใจดีมามากแล้ว ตลอดระยะเวลา 30-40 ปี เราชวนอยู่กันแบบอารยะบ้านใกล้เรือนเคียง มีความสุขไปร่วมกัน แต่ในเมื่อเราชวนท่านที่อยู่ในกติกาแต่ท่านก็อยู่นอกกติกาอย่างต่อเนื่อง "

ขณะที่การวางแนวลวดหนามเพื่อป้องกันตนเองของฝ่ายไทย สิ่งที่ผู้นำกัมพูชาปล่อยให้เกิดขึ้น และบิดเบือนด้วยการออกข่าวว่าเป็นการทำร้ายคนกัมพูชา อ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา บิดเบือนทั้งสิ้น พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 1 กองกำลังบูรพา ผู้ว่าฯ สระแก้ว ได้ใช้ความอดทนมาตลอด เมื่อฝ่ายกัมพูชาไม่ใช้กำลังทหาร และฝ่ายไทยจะใช้กำลังทหารกับทหารด้วยกันเท่านั้น จึงเตรียมกำลังควบคุมฝูงชนรับมือ

พลตรี สุรวิชญ์ ย้ำว่า การปฏิบัติของกองทัพภาคที่ 1 มีอารยะ มีขั้นตอน พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า ทหารกัมพูชา นอกจากไม่ห้ามปรามประชาชนของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ผสมโรง ช่วยรื้อรั้วลวดหนาม สิ่งที่เห็น คนกัมพูชาวัยฉกรรจ์​ 100 -​ 200 คนใช้ไม้เป็นอาวุธ  และใช้หนังสติ๊ก ซึ่งรุนแรงกว่ากระสุนยางทำร้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรอบคอบ และป้องกันตนเอง จึงเตรียมกำลังควบคุมฝูงชน 2 กองร้อย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารพราน และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายหญิง​ และอาสาสมัครรักษาดินแดน ในการตรึงกำลังผลักดันตามขั้นตอน และตามสมควรแก่เหตุ ซึ่งกัมพูชานำไปบิดเบือนว่าถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยทำร้ายร่างกาย บาดเจ็บสาหัส จึงตั้งคำถามว่าแก๊สน้ำตาบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไร จึงขอฝากไปถึงสื่อมวลชนฝั่งกัมพูชาขอให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

พลตรี สุรวิชญ์ ยังกล่าวตำหนิ คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT ฝ่ายกัมพูชา ลงพื้นที่ช่วงค่ำหลังเหตุ ให้ปฏิบัติตามข้อตก และไม่มีสิทธิ เดินมาบริเวณแนวรั้วลวดหนาม ซึ่งเป็นอธิปไตยของฝ่ายไทย โดยได้ให้กรมข่าวกองทัพภาคที่ 1 ทำหนังสือประท้วงให้ยึดถือหลักเกณฑ์ และกติกาเพราะเมื่อคณะ IOT ถูกสร้างมาเป็นผู้สังเกตการณ์

โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะยกระดับความเข้มข้น โดยทางตำรวจภูธรภาค 2 ส่งกำลังควบคุมฝูงชนสมทบในพื้นที่ 5 กองร้อย รวมของเดิม 2 กองร้อย รวมเป็น7กองร้อย หากละเมิดอีก จับกุมได้ทันที พร้อมขนขึ้นรถผู้ต้องหาดำเนินคดี ตามกฎหมายไทย ที่กำหนดว่าเข้าข่ายใด

พลตรี สุรวิชญ์ เปิดเผยต่อ กองทัพภาคที่ 1 เตรียม การประชุมคณะกรรมการส่วนภูมิภาค(RBC) ไทย-กัมพูชา 24-25 ก.ย.68 ที่กัมพูชา หารือแผนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แผนปฏิบัติอาชญากรรมข้ามชาติ​  การจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน​ ​ การจัดชุดประสานงานระหว่างพื้นที่​ 

รวมไปถึงจะมีการจัดตั้ง​ TBC ในระดับจังหวัด​ เพื่อทำงานในพื้นที่​ และย้ำว่า​ขอให้สถานการณ์เหมาะสมต่อการเจรจา และขอความจริงใจที่จะพูดคุย เพื่อที่จะให้ประชาชนร่วมของประเทศ อย่าให้สนามการค้าเปลี่ยนเป็นสนามรบ

ทั้งนี้ใน จ.สระแก้ว มีพื้นที่ ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ 8 พื้นที่ แต่ในส่วนของ บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว กัมพูชารุกล้ำเกิน พื้นที่อ้างสิทธิ  จึงต้องแก้ไขจัดการ​ โดยไม่ให้ยืดเยื้อเด็ดขาด​

สร้างรั้วส่อสะดุด! บิ๊กเล็กอ้างมีบ้างฝ่ายขว้างอ้างกลัวเสียดินแดน

ด้านพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการสร้างรั้วในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้วว่า พอได้พูดคุยกันเรื่องนี้มีความเห็นมีสองอย่างคือ แผนการสร้างของ จ.สระแก้วเสนอให้สร้างรั้วบนตลิ่ง โดยมีคลองคั่นอยู่ระหว่างเส้นเขตแดน ซึ่งฝ่ายที่อยากให้สร้างเพื่อป้องกัน เรื่องอาชญากรรม ป้องกันอาชญากร แต่ก็มีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าจะทำให้เสียพื้นที่การครอบครองตั้งแต่บริเวณกลางคลองไปจนถึงแนวรั้ว

กองทัพภาคที่ 1 ประณาม “กัมพูชา” ใช้เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ ยั่วยุ ลั่นไม่ใช่เรื่องที่อารยประเทศปฏิบัติทบ. โต้กลับกัมพูชา บิดเบือนข้อเท็จจริง 4 ข้อ ย้ำไทยดำเนินการตามหลักสากล

ซึ่งตนได้บอกว่าให้ไปคุยในรายละเอียดกันก่อน และตกลงกันให้ได้ พร้อมขอความเห็นใจเรื่องนี้ เพราะเมื่อเวลาเราทำอะไรลงไปก็จะมีอีกฝ่ายหนึ่ง มาประท้วง จึงต้องดำเนินการให้ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันได้

เมื่อถามว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่และต้องเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อีกหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า เรื่องนี้ต้องใช้เวลา ตนให้เร่งดำเนินการอยู่ และต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม สมช. เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่มีคนตัดพ้อหรือต่อว่าได้ในทุกเรื่องเราเองเป็นรัฐบาลจำเป็นต้องระมัดระวัง

เมื่อถามว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เริ่มงานนั้นจะมีการประชุมเรื่องนี้ในทันทีเลยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า ก็คงอย่างนั้น แต่ตนเองไม่สามารถตอบแทนนายกรัฐมนตรีได้ เพราะท่านเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ได้นิ่งเฉยมีการหารือกันโดยตลอด แต่ปัญหาตอนนี้ยังไม่สามารถทำอะไรที่เป็นทางการได้ ต้องรอคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อน