In News
สภานายจ้างฯขอให้รัฐบาลเสียงข้างน้อย เร่งแก้ปากท้องมากกว่ามุ่งเมกะโปรเจ็กต์

กรุงเทพฯ-สภานายจ้างแห่งประเทศไทยเอาบ้าง เรียกร้องรัฐบาลเสียงข้างน้อย เร่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ยันเสียงข้างน้อยเป็นผลดีทำให้รัฐมนตรีเร่งทำงาน นโยบายเร่งด่วนเห็นด้วย “คนละครึ่ง” แต่ห่วง4เดือนจะทำไม่ทัน ด้านรองสภานายจ้าง ‘ธนิต โสรัตน์’ร่ายยาวบทความ เรื่อง “รัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือนยุบสภา กับความคาดหวังของประเทศ” เน้นนโยบายปากท้องก่อน ส่วนเมกะโปรเจ็กต์ “รถไฟความเร็วสูง”,แลนด์บริดจ์,เอาไว้รัฐบาลหน้า ขณะเดียวกัน มีเครือข่ายภาคประชาชนภาคใต้-ภาคตะวันออก ยื่นหนังสือ นายกฯ จี้ทบทวน ‘แลนด์บริดจ์-EEC’ ยึด MOA กับพรรคประชาชน แก้รธน.-ปากท้อง มากกว่าผลักดันเมกะโปรเจกต์ ขู่หากเดินหน้าต่อ เจอแคมเปญไล่ภูมิใจไทย
นายเอกสิทธ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย (ECOT) ให้สัมภาษณ์ถึงมุมมองภาพลักษณ์ของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ว่า มีการเชิญคนนอกเข้ามาเสริมโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ และประสบความสำเร็จในภาคธุรกิจมาหลายท่าน ซึ่งถือว่าหน้าตาภาพลักษณ์ดูดี เชื่อว่าจะเป็นความหวังทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้ แต่เนื่องจากรัฐบาลได้ทำสัญญาไว้ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง 4 เดือน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชนก็จะค่อนข้างลำบาก แม้ว่ารัฐมนตรีใน ครม.จะเก่งแค่ไหนแต่ในระยะเวลาแค่ 4 เดือนยังทำอะไรไม่ได้ ซึ่งหลายคนมีความรู้ความสามารถด้านธุรกิจ แต่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและไม่เคยบริหารราชการ ไม่ได้ทำงานกับข้าราชการประจำมาก่อน เพราะการทำงานภาครัฐไม่เหมือนภาคเอกชน ถือเป็นเรื่องท้าทายที่ต้องให้เวลาพิสูจน์
นายเอกสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลเรื่องเสถียรภาพรัฐบาลเสียงข้างน้อยถือว่ามีข้อดีเพราะ รัฐบาลและรัฐมนตรีทุกคน ต้องทำงานอย่างเต็มที่จะปล่อยปละละเลยหรือจะมาทำงานเช้าชามเย็นชามไม่ได้เพราะเวลาน้อยต้องอาศัยเสียงฝ่ายค้านและฟังเสียงประชาชน แต่ถ้ามีเรื่องใดที่ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยและประชาชนคัดค้านรัฐบาลก็อยู่ต่อไม่ได้ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องโชว์ฝีมือให้เห็นอย่างเต็มที่ทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด
นายเอกสิทธิ์ ยังฝากถึงพรรคฝ่ายค้าน ว่า ทุกคนมาเป็นตัวแทนของประชาชนในการทำงานบ้านเมืองแล้ว ก็ขอให้ร่วมมือกันผลักดัน ซึ่งทำหน้าที่ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายตรวจสอบด้วยความเข้มแข็งทั้งคู่ ทำประโยชน์ให้กับประชาชนยึดมั่นประเทศชาติเป็นหลัก ซึ่งฝ่ายตรวจสอบเอง ก็ต้องทำงานเข้มแข็งเรื่องการตรวจสอบปัญหาทุจริตคอรัปชันเป็นอุปสรรคสำคัญของการเจริญเติบโต ของประเทศเรา พร้อมทั้งผลักดันกฎหมายต่างๆให้ผ่าน และเป็นหูเป็นตาแทนประชาชนในการตรวจสอบรัฐบาลด้วย
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเรื่องที่รัฐบาลและ ฝ่ายค้านเห็นพ้องว่าควรเร่งแก้รัฐธรรมนูญแทนที่จะเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น ประธานสภาองค์การนายจ้างฯ มองว่าควรจะทำควบคู่กันไปแต่ส่วนตัวเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า แน่นอนว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่สำคัญต่อประชาชนก็ต้องดำเนินการต่อไปควบคู่กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัจจุบันเรื่องปากท้องเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรีบทำ
ทั้งนี้ ภาครัฐจะต้องหามาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะยาวแต่ในเมื่อรัฐบาลชุดนี้มีการให้สัญญาว่าจะอยู่ในตำแหน่ง 4 เดือน ก็จำเป็นต้องหามาตรการระยะสั้นออกมาก่อน เช่นมาตรการคนละครึ่ง ซึ่งได้ผลดีเพราะเคยใช้มาแล้วเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแต่ก็ยังไม่พอซึ่งควรมีส่วนที่ต้องเพิ่มเติมอีก แต่ก็รู้สึกเป็นห่วงว่าแค่ 4 เดือนจะทำได้ทันหรือไม่
ชำแหละ รัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือนยุบสภา กับความคาดหวังของประเทศ
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความ เรื่องรัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือนยุบสภา กับความคาดหวังของประเทศ มีเนื้อหาว่า นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เข้าดำรงตำแหน่งภายใต้ข้อตกลงพิสดารสุดแปลก (MOA) กับพรรคประชาชนที่เป็น “นั่งร้าน” โดยไม่รับตำแหน่งในครม.ขอเป็นฝ่ายค้านแลกกับข้อตกลง การทำประชามติ “สสร.” เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน 4 เดือนและต้องไม่เติมเสียง “สส.” เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากกรณีเบี้ยวข้อตกลงจะได้ลงมติไม่ไว้วางใจ
หลังจากสลับโผครม.ลงตัวรัฐมนตรี 36 เก้าอี้ ส่วนใหญ่เป็นหน้าเก่าและเครือญาติบ้านใหญ่ความหวังอยู่รัฐมนตรีคนนอก 9 ท่าน โดยพฤตินัยรัฐบาลนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกุล เสมือนเป็นคณะรัฐมนตรีเฉพาะกิจรอการยุบสภาจากภาวการณ์พ้นตำแหน่งของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีติดต่อกันสองคน ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองและทำให้เกิดการเมืองพิสดารที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย
ภายใต้ Timeline ของรัฐบาลการเลือกตั้งได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่อาจต้องใช้เวลาจากนี้ไปอย่างน้อย 8 เดือนหรือประมาณอย่างเร็วกลางเดือนพฤษภาคมปีหน้า การบริหารประเทศจึงต้องเห็นผลระยะสั้นแบบ “Quick Win Policy” แต่โจทย์ของประเทศที่สะสมรอการแก้ปัญหามีมากมาย ทั้งด้านเศรษฐกิจชะลอตัวภาวะหนี้ครัวเรือนสูงด้านสังคมและความมั่นคง
ทั้งนี้เศรษฐกิจของไทยซึมยาวจากการที่พี่งพาเศรษฐกิจโลกในสัดส่วนที่สูงทั้งด้านการส่งออกและท่องเที่ยว เศรษฐกิจโลกหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 นิ่งมาต่อเนื่อง ล่าสุดธนาคารโลกประมาณการณ์ขยายตัวร้อยละ 2.3 ชะลอตัวต่ำสุดในรอบทศวรรษและการค้าโลกขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9 ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครนต่อเนื่อง 4 ปี เซาะกร่อนเศรษฐกิจยุโรปจนอ่อนแรงมีผลต่อกำลังซื้อกระทบต่อส่งออกไทย
สำหรับภาคเอกชนตัวเลขขยายตัวเศรษฐกิจหรือ GDP จะโตต่ำหรือสูงกว่าร้อยละ 2.0 ไม่สนใจแล้วเพราะเข้าสู่ “Survival Mode” แค่เอาตัวรอดไปปีหน้าก็เหนื่อยแล้ว ปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศที่รอรัฐบาลแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเห็นผลเร่งด่วน ฉากทัศน์การบริโภคภายในประเทศอ่อนแอ คาดว่าปีนี้จะขยายตัวชะลอตัวจากตากร้อยละ 4.4 เป็นร้อยละ 2.1 หดตัวต่อเนื่อง 3 ปี กำลังซื้อที่เงียบสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาขยายตัว “ร้อยละ 0” จำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเห็นผลเร่งด่วน จากงบประมาณจำกัดต้องการเห็นผลลัพธ์เร็วต้องใช้มาตรการ “ลดน้ำที่ราก” ด้วยการใส่เม็ดเงินเข้าไปในกระเป๋าประชาชนผ่าน “แอพเป๋าตัง” ภายใต้โครงการคนละครึ่งนิวเวอร์ชั่น เฟสแรก ยังไม่ชัดเจนประมาณ 25,000 ล้านบาท ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบภายในเดือนตุลาคม
เท่าที่ทราบหลักเกณฑ์กรณีผู้เสียภาษีรัฐบาลจ่ายร้อยละ 60 ประชาชนจ่ายร้อยละ 40 ฐานผู้เสียภาษีจริงประมาณ 3.950 ล้านคน (จากผู้ยื่นแบบภาษีประมาณ 11.52 ล้านคน) สำหรับบุคคลทั่วไปแบ่งจ่ายคนละครึ่งสัดส่วน 50:50 เข้าใจว่าขั้นตอนยังมีอีกมากมีผู้เห็นด้วยไม่เห็นด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลาควรลอกเลียนของเดิมสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ปี 2563)
สำหรับเฟสสอง ควรจัดสรรงบประมาณให้มากกว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเดือนธันวาคม เพื่อให้ประชาชนที่ทำงานในเมืองกลับบ้านวันหยุดยาวปีใหม่ไปใช้จ่ายที่ชนบททำให้เงินกระจายตัว
นอกจากนี้เท่าที่ทราบยังมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “Easy E-Receipt” ด้วยการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรทำควบคู่กับการแก้วิกฤตโครงสร้างหนี้ซึ่งหนี้ครัวเรือนและธุรกิจอยู่ในระดับสูงทำให้ขาดสภาพคล่องมีผลต่อ “Net Income” ทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลงแก้กันมาสี่รัฐบาลยังไม่จบฝากรัฐบาลอนุทินซึ่งเข้าใจปัญหาดีควรเร่งไปแก้ไข เร่งแก้ปัญหาชายแดน เกี่ยวข้องกับความมั่นคงควรทำควบคู่กันไป
ประการแรก : ด้วยการประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดียหรือจ้างยูทูปเบอร์ต่างชาติให้เห็นว่าความขัดแย้งเป็นปัญหาชายแดนที่ติดกับกัมพูชาห่างไกลจากกทม. และเมืองท่องเที่ยวโดยเฉพาะพัทยา ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ ฯลฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวิตและมีความปลอดภัย
ประการที่สอง : การเจรจาเรื่องพรมแดนหากพิสูจน์ว่าเป็นพื้นที่ของไทยต้องไม่เสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว สำหรับชาวบ้านตะเข็บชายแดนที่ค้าขายไม่ได้ควรมีมาตรการเยียวยาแต่เห็นส่วนใหญ่คนที่เข้ามาค้าขายเป็นชาวกัมพูชาต้องแยกแยะให้ดี ขณะที่การเปลี่ยนแม่ทัพภาค 2 ซึ่งเกษียณอายุต้องเป็นแบบไร้รอยต่อรัฐบาลต้องซับพอร์ตอย่าให้การเมืองเข้ามาแทรกโดยเฉพาะทีมเจรจากับกัมพูชาในเวทีต่างๆ คู่เจรจาเจ้าเล่ห์ต้องทันเกมเช่นกรณีเปิดด่านเนื่องจากถูกกดดันจากข่าวทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชาแทรกแซงกระบวนการความมั่นคง
ต้องเข้าใจว่าถึงแม้ปิดด่านแต่การขนส่งสินค้าไทย-กัมพูชาสามารถใช้ขนส่งทางเรือเพียงแต่ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่าทางถนน การขนส่งจากท่าเรือของไทยไปท่าเรือสีหนุวิลล์ยังปกติเรือบรรทุกตู้สินค้า 600 TEU ก่อนหน้านี้แต่ละสัปดาห์มี 3 เที่ยว (Voy) เนื่องจากปริมาณสินค้ามากขึ้นเดือนกันยายนเพิ่มเป็น 5 เที่ยวต่อสัปดาห์
การเจรจาภาษีทรัมป์ (Reciprocal Tariff) เกี่ยวกับการส่งออกไปสหรัฐฯ เสียภาษีนำเข้าอัตราร้อยละ 19 ยังมีประเด็นที่ต้องเจรจาทั้งด้านการสวมสิทธิ์และสัดส่วนการใช้วัตุดิบในประเทศ (RVC) ช่วงนี้สหรัฐฯ อาจเงียบไปเพราะรอผลการพิจารณาของศาลฎีกา (Supreme Court) ซึ่ง ปธน.ทรัมป์แพ้คดีทั้งศาลต้นและศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับประเด็นความชอบธรรมและอำนาจในการขึ้นอัตราภาษี อาจต้องรอไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน หาก “ทรัมป์” แพ้ภาษีนำเข้าจะกลับไปในอัตราเดิม
อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องเตรียมทีมเจรจาจากเดิมคุณพิชัย ชุณหวชิร เป็นหัวหน้าทีมพอไปได้ รัฐมนตรีใหม่เก่งทั้งคู่จะเป็นใครระหว่างคุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรมว.คลัง เป็นลูกหม้อกระทรวงการคลังดูแลการจัดเก็บภาษีมาโดยตลอด
สำหรับคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ อดีต CEO เชนโรงแรมใหญ่ระดับโลกเวลาสั้นๆ เพียง 4 เดือนจะปรับตัวทันไหม ตัวช่วยอาจเป็นคุณวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.กระทรวงการคลังคงเอาอยู่เพราะเคยอยู่ในทีมเจรจา “Thailand Team” ภาษีทรัมป์ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังไม่เห็นผลกระทบส่งออกอย่างเป็นนัยเดือนกันยายนอาจลดลงบ้าง เนื่องจากแต่ละประทศคู่แข่งล้วนเจอภาษีในอัตราใกล้เคียงกัน
มาตรการเร่งด่วนสุดท้ายซึ่งมีความสำคัญมากคือการสร้างความเชื่อมั่น เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เฉพาะกิจแค่ 4 เดือนต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ อย่าให้ช่วงแปดเดือนสูญเปล่าจำเป็นต้องมีมาตรการเรียกความเชื่อมั่นเนื่องจากมูลค่าการลงทุนผ่าน BOI ปีนี้อาจสูงถึง 2.0 ล้านล้านบาท เป็นการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ร้อยละ 70.28 สูงเป็นประวัติการณ์ อย่าให้นักลงทุนลังเล มาตรการสร้างความเชื่อมั่นต้องทำอย่างเป็นระบบและต้องเร็วรวมถึงกลยุทธ์ดึงการลงทุนในกัมพูชาด้วยการยกเลิกโครงการ “Thailand Plus One” เชื่อมโยงการลงทุนกับเขมร ด้านความเชื่อมั่นภาคท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งปีนี้ชะลอตัวจะมีวิธีอย่างไรเพราะกำลังเข้าสู่ช่วงไฮท์ซีซั่น จะทำด้วยวิธีอย่างไรคุณศุภจีฯ เธออยู่กระทรวงพาณิชย์แต่ช่วยกันคงไม่เป็นไรเพราะเธอเก่งอยู่แล้วคงไม่ต้องห่วง
องค์กรภาคเอกชนต่างมีการนำเสนอประเด็นต่างๆ มากมายโดยเฉพาะโครงการเห็นผลระยะยาวให้รัฐบาลดำเนินการ ควรต้องเข้าใจว่ารัฐบาลคุณอนุทินฯ มีเวลาสั้นมากๆ โครงการต้อง “Quick Win” ประเภทโครงการใหญ่เห็นผลระยะยาว ไว้เลือกตั้งใหม่ หากได้เป็นรัฐบาลค่อยกลับมาทำ เช่น โครงการ “Landbridge” ชุมพร-ระนอง ระยะทาง 89.35 กิโลเมตร มีท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ระดับแหลมฉบัง 2 แห่งหัวท้ายและมีโครงสร้างพื้นฐานระดับรางและมอเตอร์เวย์เชื่อมใช้งบประมาณมากกว่า 1 ล้านล้านบาท คงต้องศึกษาให้ดีเพราะยังมีคำถามอีกมากถึงแม้จะเป็นลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะกับประเทศจีนแลกกับสัญญา 50 ปี คุ้มหรือไม่
ควรนำกรณีศึกษารถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวและสนามบินเตโชตาเขมาของกัมพูชากู้เงินจีนและถูกครอบงำ โครงการแลนด์บริดจ์คงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเพราะท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพิ่งลงทุน เวลาสั้น ๆ เก็บไว้ก่อนดีกว่าไหม
เอ็นจีโอภาคใต้-ตะวันออกจี้นายกฯเลิกคิดเมกะโปรเจ็กต์ ยึด แก้รธน-ปากท้อง
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ก.ย.2568 เครือข่ายภาคประชาชนภาคใต้ และภาคตะวันออก ยกขบวนประชาชนกว่า 50 คน เดินทางมายังที่ทำการพรรคภูมิใจไทย เพื่อยื่นหนังสือถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งในภาคตะวันออกและภาคใต้ (EEC และ SEC) รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์
โดยมีนายอารี ไกรนรา และนายสุริยงค์ หุณฑสาร ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย เป็นตัวแทนรับหนังสือจากเครือข่ายภาคประชาชน
ตัวแทนภาคประชาชน อ่านแถลงการณ์ระบุข้อเรียกร้องว่า รัฐบาลชุดนี้ ถือเป็นการเข้ามาบริหารประเทศในสถานการณ์พลิกผันทางการเมือง อันเกิดขึ้นจากความล้มเหลวในการบริหารของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ดังนั้น การเข้ามาเป็นรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยในครั้งนี้ จึงถูกคาดหวังว่าจะแก้ปัญหาให้ดีขึ้นได้
รัฐบาล ต้องมีความรับผิดชอบต่อการพัฒนาโครงการ EEC และ SEC ด้วยการกลับไปทบทวนแนวทางการพัฒนาดังกล่าว ที่กำลังถูกตั้งคำถามว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนต่างชาติมากกว่าคนในชาติของตนเองหรือไม่
ดังนั้น จึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง หากรัฐบาลจะบรรจุนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร แถลงต่อรัฐสภาที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จึงขอเรียกร้องให้พรรคภูมิใจไทย ในฐานะผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ได้ใช้เวลาบริหารบ้านเมืองที่มีอยู่นี้ ให้เป็นไปตามเจตจำนงที่ท่านได้ทำบันทึกข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในสังคมโดยรวมต่อระบบการเมืองของประเทศ
ย้ำว่า รัฐบาลอายุสั้นเพียง 4 เดือน ไม่เหมาะทำเมกะโปรเจกต์ และควรทำตาม MOA ที่ทำไว้กับพรรคประชาชน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ทั้งนี้ หากพรรคภูมิใจไทยยังดึงดันนำนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งในภาคตะวันออกและภาคใต้ (EEC และ SEC) รวมถึงแลนด์บริดจ์ ในการแถลงนโยบายของรัฐบาล
พวกเราจะกลับมาเจอกันอีกแน่นอน รวมถึงการผุดแคมเปญ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า ไม่เอาพรรคภูมิใจไทยในหลายๆพื้นที่ด้วย