In News
การเบิกจ่ายงบฯ-จัดเก็บรายได้ปี68ฮวบ! ค้างเบิก8.8หมื่นล./จัดเก็บหลุดเป้าหมื่นล.

กรุงเทพฯ-นับถอยหลังสิ้นปีงบประมาณ2568 การเบิกจ่ายงบประมาณโค้งสุดท้าย งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.31แสนล้าน ก่อหนี้6.5หมื่นล้าน เบิกจริงเพียง 4.2หมื่นล้าน ยังเหลือมากถึง 8.8 หมื่นล้าน ขณะที่การจัดเก็บรายได้ปี 2568 คาดเก็บได้ 2.88ล้านบ้านบาท มีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายหลักหมื่นล้านบาท เหตุกลุ่มธุรกิจหันไปใช้เขตปลอดอากร เช่น การสนับสนุนภาษีรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้นทำให้รายได้ลดฮวบ
เศรษฐกิจไทยปี 2568 แม้ไตรมาส 2 จะขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากแรงส่งภาคการส่งออกสินค้าที่เร่งขึ้นก่อนที่ภาษีทรัมป์จะมีผลบังคับ แต่การบริโภคภาคเอกชนและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวยังชะลอลง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ยังเป็นแรงกดดันจ่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากความคาดหวังที่ต้องการให้การลงทุนภาครัฐมาเป็นตัวเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลางเปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 คาดว่า จะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้เกินสัดส่วน 70% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 80% กรมบัญชีกลางมีการกำกับส่วนราชการอย่างใกล้ชิด ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการเบิกจ่ายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ในปีงบประมาณนี้ มีความท้าทาย เนื่องจากส่วนราชการมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้น จากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวงเงินรวม 1.31 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีการก่อหนี้แล้ว 6.5 หมื่นล้านบาท และเบิกจ่ายจริงเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท ยังเหลือวงเงินที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 8.8 หมื่นล้านบาท
'การเบิกจ่ายงบลงทุนปีนี้มีความท้าทาย เพราะหน่วยรับงบประมาณบางกระทรวงที่จัดซื้อจัดจ้างได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และยังได้งบกลางเพิ่มขึ้นอีก จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้เบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท'
อย่างไรก็ตาม หากส่วนราชการเบิกจ่ายไม่ทันภายในปีงบประมาณนี้ สามารถผูกพันงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายในปีถัดไปได้ ไม่ต้องลงนามในสัญญา แต่จะต้องมีการออกประกาศจัดซื้อจัดจ้าง ประกวดราคาก่อน 30 ก.ย.68 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง
สำหรับภาพรวมการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 วันที่ 12 ก.ย.68 มีการเบิกจ่ายงบประมาณรวม 3.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 87.27% แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ 2.7 ล้านล้านบาท, รายจ่ายงบลงทุน 4.88 แสนล้านบาท, รายจ่ายลงทุนกรณีไม่ รวมงบกลาง 4.76 แสนล้านบาท, และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี 2.32 แสนล้านบาท
ด้านการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ของกระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานโครงการสำคัญ ครั้งที่ 3/68 ได้ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568
ปัจจุบันมีผลการเบิกจ่ายสะสม 127,629.81 ล้านบาท คิดเป็น 60.14% ส่วนภาพรวมการเบิกจ่ายเงินกันเหลื่อมปี 2567 วงเงิน 47,373.50 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายสะสมรวม 43,161.39 ล้านบาท คิดเป็น 91.11%
ขณะที่งบรายจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2568 กระทรวงฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 212,213.68 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย 127,629.81 ล้านบาท คิดเป็น 60.14% แบ่งเป็น
รายการปีเดียว 7,896 รายการ วงเงิน 91,260 ล้านบาท ซึ่งมีการลงนามในสัญญาแล้ว 7,796 สัญญา วงเงิน 89,220 ล้านบาท คงเหลือ 100 รายการ วงเงิน 2,040 ล้านบาท
รายการผูกพันใหม่ 326 รายการ วงเงิน 24,184 ล้านบาท ลงนามในสัญญาแล้ว 179 สัญญา วงเงิน 11,112 ล้านบาท คงเหลือ 147 รายการ วงเงิน 13,072 ล้านบาทคาดว่า จะลงนามสัญญาครบทุกรายการภายในเดือนกันยายนนี้
'ได้เร่งรัดทุกหน่วยงานติดตามและตรวจสอบทุกการดำเนินงานในทุกโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล และช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ'นายสุริยะกล่าว
ด้านงบลงทุนปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงฯ วงเงิน 101,676.55 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายสะสม 81,351.16 ล้านบาท คิดเป็น 80.01% โดยตั้งเป้าแผนเบิกจ่ายได้ 100% ภายในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้กระทรวงฯ มีแผนลงนามในโครงการสำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 5,137 รายการ วงเงิน 47,395.43 ล้านบาท
สำหรับปีงบประมาณ 2569 กระทรวงฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ วงเงิน 265,406.77 ล้านบาท โดยเป็นโครงการปีเดียว วงเงิน 162,301 ล้านบาท คิดเป็น 69.14% และโครงการผูกพันเดิมในปี 2568 วงเงิน 72,446 ล้านบาท คิดเป็น 30.86% แบ่งเป็น ส่วนราชการ 9 หน่วยงาน วงเงิน 199,955.92 ล้านบาท โดยเป็นรายจ่ายประจำ 12,050 ล้านบาท คิดเป็น 6.03% และรายจ่ายลงทุน วงเงิน 187,904 ล้านบาท คิดเป็น 93.97%
ด้านรัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงาน วงเงิน 65,450.84 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ วงเงิน 18,607 ล้านบาท คิดเป็น 28.43% และรายจ่ายงบลงทุน วงเงิน 46,843 ล้านบาท คิดเป็น 71.57% ซึ่งได้รับเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 20,829.80 ล้านบาท คิดเป็น 8.52%
สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญในปีงบประมาณ 2569 ประเมินว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งผลักดันภายใต้งบประมาณดังกล่าวจำนวน 22 โครงการ วงเงิน 910,000 ล้านบาท เช่น
โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์)หมายเลข 8 (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม-ปากท่อ-ชะอำ ระยะที่ 1 ช่วงนครปฐม-ปากท่อ โครงการรถไฟความเร็วสูงรถไฟทางคู่ระยะ 2 โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย โครงการพัฒนาท่าเรือคลองเตย ฯลฯ
การจัดเก็บภาษีลดฮวบกว่าหมื่นล้าน
รายงานข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ 2568 มีแนวโน้มจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเอกสารงบประมาณที่ 2.88 ล้านล้านบาท เป็นจำนวนหลักหมื่นล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ชะลอตัวลง ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 2.2% ตลอดทั้งปี
ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการจัดเก็บรายได้มาจากภาษีหลายประเภทที่จัดเก็บได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษีรถยนต์ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของรัฐบาล และปริมาณรถยนต์สันดาปที่ชำระภาษีมีจำนวนน้อยกว่าคาดการณ์
รวมทั้ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการนำเข้า และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ก็เผชิญความท้าทายเช่นกัน เนื่องจากภาคธุรกิจหันไปใช้สิทธิประโยชน์ในเขตปลอดอากรมากขึ้น ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่เติบโตได้ไม่เต็มศักยภาพตามภาวะ
รายงานผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ค. 2568) ระบุว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิรวม 2,250,117 ล้านบาท แม้จะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.8% หรือ 40,827 ล้านบาท แต่ยังคงต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ถึง 37,637 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6%
เมื่อพิจารณาการจัดเก็บของ 3 กรมภาษีหลัก พบว่าทุกหน่วยงานจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายทั้งหมด ได้แก่ กรมสรรพากร จัดเก็บได้ 1,824,453 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 11,910 ล้านบาท (0.6%) กรมสรรพสามิต จัดเก็บได้ 446,728 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าถึง 56,260 ล้านบาท (11.2%) กรมศุลกากร จัดเก็บได้ 95,261 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 6,339 ล้านบาท (6.2%)
อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณบวกจากการนำส่งรายได้ของ รัฐวิสาหกิจ ที่ทำผลงานได้โดดเด่น โดยนำส่งรายได้รวม 156,996 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการถึง 17,020 ล้านบาท (12.2%) เช่นเดียวกับ ส่วนราชการอื่น ที่จัดเก็บรายได้รวม 151,150 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 17,393 ล้านบาท (13.0%) ซึ่งช่วยพยุงภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล
ทั้งนี้ แหล่งข่าวได้ให้ความเชื่อมั่นว่า แม้การจัดเก็บรายได้จะต่ำกว่าเป้าหมาย แต่กระทรวงการคลังได้เตรียมแนวทางรองรับไว้แล้ว และจะสามารถบริหารจัดการเพื่อปิดหีบงบประมาณได้ภายในวันที่ 30 ก.ย. 2568 โดยอาศัยเครื่องมือทางการคลังและสภาพคล่องจากเงินคงคลังที่มีอยู่เพียงพอ โดยไม่จำเป็นต้องมีการกู้เงินเพิ่มเติม ทั้งนี้ปัจจุบันรัฐบาลมีเงินคงคลังอยู่ที่ 4.05 แสนล้านบาท
จากความท้าทายในการจัดเก็บรายได้ดังกล่าว ทำให้ประเด็น การปฏิรูปโครงสร้างภาษี ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยที่ผ่านมาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เคยผลักดันเรื่องดังกล่าวไว้ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพทางการคลังและสร้างความเป็นธรรมในระบบ
รายงานจาก สศค. ระบุว่า อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของไทยที่จัดเก็บในอัตรา 7% ยังถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ไม่ใช่ผู้ส่งออกพลังงาน ขณะที่ประสิทธิภาพการจัดเก็บ VAT ต่อการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 4.6% ในปี 2558 เหลือเพียง 4.0% ในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการรั่วไหลของฐานภาษีที่อยู่นอกระบบ และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ด้วยเหตุนี้ แนวคิดการปรับขึ้นอัตราภาษี VAT จึงเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่ถูกนำมาพิจารณา โดยมีการประเมินว่า การขึ้น VAT ทุก 1% จะสร้างรายได้ให้รัฐเพิ่มขึ้นถึง 70,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำไปใช้สนับสนุนกลุ่มเปราะบางและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นได้
นอกจากนี้ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ โดยการจัดเก็บของไทยยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มถึง 0.5% ของ GDP จากข้อมูลของ สศค. พบว่า ในประเทศไทยมีผู้ที่ยื่นแบบและมีภาระต้องจ่ายภาษีจริงเพียง 10% ของผู้ยื่นแบบทั้งหมด ขณะที่อีก 17% ยื่นแบบแต่ไม่ต้องเสียภาษี และน่ากังวลที่สุดคือ ประชากรในวัยทำงานที่มีรายได้ส่วนใหญ่ถึง 73% ยังคงไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการ หรืออยู่นอกระบบภาษี