In News

อัปเดต'บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว' กองทัพภาค1ชี้ตึงเครียด/ไม่มีเหตุรุนแรง



กรุงเทพฯ-กองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ขอสรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ณ เวลา 15.00 น. ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว ดังนี้  ในพื้นที่บ้านหนองจาน ฝ่ายไทยมีมวลชนกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งสื่อมวลชน ประมาณ 200 คน รวมตัวแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการปกป้องอธิปไตยของไทย ขณะที่ตำรวจ ผบ.ตร.กำชับตำรวจร่วมยุทธการกองทัพ ส่ง 6 กองร้อยตรึงชายแดน ยึดคืนหนองจาน – หนองหญ้าแก้ว รักษาแผ่นดินไทย ย้ำปฏิบัติการตามขั้นตอน บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด

ในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม ฝ่ายกัมพูชามีมวลชนเข้ามาสมทบในพื้นที่ การปฏิบัติการที่สำคัญ หน่วยได้จัดกำลังระวังป้องกันในพื้นที่ตอนใน

ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ฝ่ายไทยมีมวลชนจำนวนหนึ่งในพื้นที่ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่สำคัญ ในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม ฝ่ายกัมพูชาพบความเคลื่อนไหวประชาชนและมวลชน/ผู้สื่อข่าว ประมาณ 100 คน บริเวณรั้วลวดหนามและกระจายรอบหมู่บ้านเปรยจัน โดยมีทหาร ตำรวจและส่วนราชการ คอยอำนวยความสะดวกและการจัดระเบียบ สถานการณ์ทั่วไปปกติ การปฏิบัติการที่สำคัญ หน่วยได้จัดกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชน (คฝ.) 1 กองร้อย เข้าควบคุมและรักษาความปลอดภัยพื้นที่ เเละจัดชุดตรวจค้นวัตถุระเบิด 4 ชุด พร้อมอุปกรณ์ตรวจค้นเเละรถถากถางหุ้มเกราะ D5 ดำเนินการตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่ปฏิบัติการฝ่ายไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว โดยจะสามารถได้พื้นที่ปลอดภัย จำนวน 38,256 ตารางเมตร

นอกจากนี้ คณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) ประจำราชอาณาจักรไทย เดินทางมาสังเกตการณ์ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ตามแนวชายแดนของ จ.สระแก้ว รับทราบสถานการณ์ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดย กองทัพภาคที่ 1 ได้ชี้แจงให้คณะ IOT รับทราบ ถึงการขั้นตอนดำเนินการจัดการพื้นที่ที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในอธิปไตยของไทย เป็นไปตามมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ภายใต้กรอบกฎหมายไทยและหลักสากล

ต่อกรณีฝ่ายกัมพูชา โดยกองพลทหารราบที่ 51 แจ้งให้ฝ่ายไทยระงับการเก็บกู้ระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ้างละเมิดของตกลง GBC นั้น กองทัพภาคที่ 1 ขอยืนยันว่าฝ่ายไทยดำเนินการดังกล่าว ในพื้นที่อธิปไตยของไทยไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์

กองทัพภาคที่ 1 โดยกกล.บูรพา กองร้อยควบคุมฝูงชน (คฝ.) และฝ่ายปกครอง ยังคงตรึงกำลังดูแลความเรียบร้อยของทั้ง 2 พื้นที่ สถานการณ์ภาพรวมยังไม่มีเหตุการณ์ใช้กำลังเข้าระงับเหตุ กองทัพภาคที่ 1 ยืนยันจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดในห้วงวันเวลาที่ได้เปรียบ ทั้งนี้ พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ประจำในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว เพื่อติดตามการปฏิบัติของหน่วยและการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด

ผบ.ตร.กำชับตำรวจร่วมยุทธการกองทัพส่ง6กองร้อยตรึงชายแดน 

วันนี้ (10 ตุลาคม 2568) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนจังหวัดสระแก้ว ซึ่งครบกำหนดเส้นตายที่ฝ่ายไทยยื่นคำขาดให้ชาวกัมพูชาอพยพออกจากพื้นที่ทับซ้อนบริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กำชับตำรวจในพื้นที่ทั้งตำรวจภูธรภาค 2, ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมยุทธการกับกองทัพเพื่อรักษาแผ่นดินไทย รักษาอธิปไตยของชาติ โดยปฏิบัติตามกฎหมาย ยุทธวิธีตามมาตรฐานสากล โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกนาย พร้อมกำชับผู้บังคับบัญชาหน่วยในพื้นที่ให้ดูความพร้อมของยุทโธปกรณ์ กำลังพลในการออกปฏิบัติการ และมีการข่าวที่แม่นยำ ป้องกันภัยคุกคามทุกรูปแบบ เตรียมความพร้อมในการดูแลประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงรองรับทุกสถานการณ์ โดยย้ำว่าตำรวจมีหน้าที่หลักในการบังคับใช้กฎหมาย หากมีการกระทำใดที่ละเมิดกฎหมายไทยจะต้องดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด 

นอกจากนี้ โฆษก ตร. เปิดเผยว่า วันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้กำลังตำรวจภูธรภาค 2 เป็นตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) 6 กองร้อย หรือ 1,020 นาย สนับสนุนกำลังของกองทัพในการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ ขณะนี้มีความพร้อมและมีขวัญกำลังใจที่ดีในการปฏิบัติ โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำชับให้ดูแลขวัญกำลังใจของกำลังพลด้วย และในวันพรุ่งนี้ (11 ตุลาคม 2568) พล.ต.อ.สำราญ นวลมา รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร. จะเดินทางลงพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้วด้วยตัวเอง เพื่อให้ขวัญกำลังใจและควบคุมการปฏิบัติ

ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่ดังกล่าว ร่วมเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ และตรวจสอบข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการ ระมัดระวังการเผยแพร่ ส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือน สร้างความตื่นตระหนกในพื้นที่ โดยสามารถสอบถามหรือแจ้งเหตุได้ที่สายด่วน 1599 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำหรับชุดอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน หรือ ชุดปราบจลาจล ประกอบด้วย หมวกปราบจราจล ที่มีหน้ากากกันแก๊สน้ำตา, โล่ใสป้องกัน เพื่อใช้ป้องกันตัวและบังคับทิศทาง, ชุดป้องกันสะเก็ด ทั้งสนับแข้ง สนับเข่า สนับศอก และสนับบังเป้า, และบางครั้งอาจมี เสื้อเกราะอ่อน เพื่อป้องกันอันตรายจาก

อาวุธ. อุปกรณ์เหล่านี้ออกแบบมาเพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่จากการถูกทำร้ายด้วยของแข็ง หรือขว้างปาต่างๆ ในสถานการณ์การชุมนุม.  
ส่วนประกอบหลักของชุดควบคุมฝูงชน  หมวกปราบจราจล: ทำหน้าที่ป้องกันศีรษะ ใบหน้า และดวงตาจากแรงกระแทกและสิ่งของที่ขว้างปา และสามารถใช้คู่กับหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาได้. 

โล่ใส: เป็นอุปกรณ์สำคัญที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการป้องกันตัวจากแรงกระแทก และใช้ในการผลักดันหรือควบคุมแนวการเคลื่อนที่ของฝูงชน. 
ชุดป้องกันส่วนบุคคล: ประกอบด้วยสนับต่างๆ เช่น สนับแขน สนับขา สนับเข่า สนับศอก และสนับบังเป้า เพื่อป้องกันส่วนต่างๆ ของร่างกายจากการถูกกระแทกหรือทำร้าย. 

เสื้อเกราะอ่อน: อาจมีเสื้อเกราะที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันอันตรายจากอาวุธปืนสั้น หรืออาวุธอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์. 

วัตถุประสงค์อุปกรณ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อ ปกป้องเจ้าหน้าที่ จากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธระยะประชิด หรือการขว้างปาวัตถุต่างๆ เช่น อิฐ ในสถานการณ์การควบคุมฝูงชนหรือการสลายการชุมนุม. นอกจากนี้ อุปกรณ์บางอย่าง เช่น โล่ ยังใช้เพื่อ จัดการและควบคุมสถานการณ์ ให้เป็นระเบียบ.