Authority & Harm
ผบช.ภ.7แถลงรวบ2มือปืนยิงเสี่ยเปี๊ยก 'รักษ์ เจ้าสัว/บอย เบ็ญพาด'สางปมหนี้

นครปฐม-ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม พร้อมชุดคลี่คลายคดี แถลงข่าวรวบ รักษ์ เจ้าสัว มือปืนตัวฉกาจ และบอย เพ็ญพาด อดีตตำรวจ หลังก่อเหตุจ้างานและบุกยิงเสี่ยเปี๊ยก เจ้าของธุรกิจใหญ่ และร้านอาหารชื่อดังกลางตัวเมืองนครปฐม โดยอ้างว่ามีปมทวงหนี้มูลค่ากว่า 130 ล้านบาท โดยตอนนี้มือปืนยังไม่เปิดปากว่าใครคือผู้บงการจังหวะแต่เชื่อว่าจะใช้กระบวนการสืบสวนจนออกหมายจับมือสั่งการได้อีกไม่นาน
วันที่ 14 ตุลาคม 68 กองอำนวยการกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 อ.เมือง จ.นครปฐม พล.ต.ท.พิสิฐ ตันประเสริฐ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พล.ต.ต.ชมชวิณ อุปุระธนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 , พล.ต.ต.พิพัฒน์ ชุ่มมณีกูล รอง ผบช.ภ.7 , พล.ต.ต.ปิติ นฤขัตรพิชัย รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ รอง ผบช.ภ.7 , พล.ต.ต.ไพศาล พฤกษจำรูญ รอง ผบช.ภ.7 และ พล.ต.ต.ประสพชัย มัตสยะวนิชกูล รอง ผบช.ภ.7 นางสาวอโรชา นันทมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พล.ต.ต.พิทักษ์ อุปพงษ์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.อ.ภูมิพศุตม์ เตี๊ยะเพชรดี รอง ผอ.รมน.จังหวัด น.ฐ.(ท.) พร้อมด้วยชุดคลี่คลายคดี ร่วมกันแถลงข่าว ผล การจับกุมผู้ต้องหาในคดีบุกยิงนายระวี อารยวัฒนเวช อายุ 75 ปี หรือเสี่ยเปี๊ยก นักธุรกิจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณร้านอาหารดอกไม้ป่า ถนนราชมรรคา อ.เมือง จว.นครปฐม โดยเหตุเกิดเมื่อด้วยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 เวลาประมาณ 17.48 น. ที่ผ่านมา
โดยในการแถลงข่าว พล.ต.ท.พิสิฐ ตันประเสริฐ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้แต่ลงผลการจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย ประกอบด้วยนายอาภากร หรือรักษ์ เจริญลาภ อายุ 43 ปีหรือ รักษ์ เจ้าสัว อยู่บ้านเลขที่ 13 ม.1ต.โพพระอ.เมืองเพชรบุรีจ.เพชรบุรีโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า“พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมืองหมู่บ้านหรือที่ ชุมนุมชน” ตามหมายจับของศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ.1154/2568 ลง 10 ต.ค.256 พร้อมของกลางในคดี ประกอบด้วย 1. อาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 11 มม.ไม่มีทะเบียน จำนวน 1 กระบอก 2. ซองบรรจุกระสุนปืน ขนาด 11 มม.จำนวน 1 ซอง 3. กระสุนปืนขนาด 11 มม.บรรจุในซองกระสุน จำนวน 6 นัด 4. กระสุนปืนขนาด 11 มม.จำนวน 40 นัด 5. ซองพกในสีดำ จำนวน 1 ซอง 6. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ HONDA READ 125 สีเทา (ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน) คันที่ใช้ก่อเหตุ 7. รองเท้าผ้าใบหุ้มส้นสีขาว ที่สวมใส่หลังก่อเหตุและหลบหนี โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่ บริเวณหน้าบ้านเช่าไม่มีชื่อ ม.1 ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี
ส่วนอีกรายคือ นายวรวิทย์ หรือบอย เบ็ญพาด อายุ 50 ปี ที่อยู่ 81/1 ม.6 ต.เลาขวัญ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ตามหมายจับของศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ.1155/2568 ลง 10 ต.ค.2568 โดยจับกุมตัวได้ที่บริเวณรีสอร์ทละลานตา แคมป์ปิ้ง คาเฟ่ ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
พล.ต.ต.พิทักษ์ อุปพงษ์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม เผยว่าในการจับกุมดังกล่าว ในการติดตามจากกลุ่มผู้ต้องหาทั้งสองราย ซึ่งรายแรกคือนายอาภากร หรือรักษ์ เจริญลาภ อายุ 43 ปีหรือ รักษ์ เจ้าสัว ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่มีประสบการณ์ช่ำชอง เคยก่อเหตุยิงนักศึกษาราชภัฏนครปฐม ปีที่ 2 เสียชีวิตที่ร้านเจ้าสัวเมื่อปี 2549 และถูกจับกุมติดคุกอยู่ 10 ปี จากนั้นได้ออกมาและกลายมาเป็นดาว TikTok เมื่อปี 2559 ต่อมาได้รู้จักกับนายบอยผู้ต้องหาสอง ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการตำรวจแต่ตอนนี้ได้ออกจากราชการแล้ว ซึ่งได้มีการประสานงานติดต่อกันเพื่อรับงานในการบุกยิงเสี่ยเปี๊ยก ซึ่งจากการสอบสวนนายรักษ์ เจ้าสัว ได้ให้การว่าเป็น การติดตามหนี้จำนวน 130 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ของเจ้านายของนายบอย
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมกล่าวว่า ในการรับงานครั้งนี้มียอดเงินสูงถึง 1.3 ล้านบาท ซึ่งครั้งแรกวันที่ก่อเหตุ รักษ์ เจ้าสัว และอาศัยความเป็นมืออาชีพและมาเฝ้าติดตามเกาะติดเสี่ยเปี๊ยก สองจุดคือจุดที่หนึ่งคือบ้านพักในซอยอู่ซุ่นชัย และจุดที่สองคือบริเวณหน้าร้านอาหารครัวดอกไม้ป่า จุดเกิดเหตุ แต่ในจุดแรกไม่สามารถก่อเหตุได้เนื่องจากมีกล้องวงจรปิดหลายแห่ง จึงใช้จุดที่สองเป็นจุดลงมือ โดยครั้งแรกได้รับเงิน 50,000 บาท และนำไปซื้อรถจักรยานยนต์คันที่ก่อเหตุ จากนั้นหลังก่อเหตุได้ไปรับเงินอีก 500,000 บาท หลังจบงานรับเงินค่าจ้างอีกรวม 1.3 ล้านบาท โดยพฤติกรรมได้มีการขับขี่รถจักรยาน ยนต์มาดูจุดทั้งหมดสามครั้ง โดยครั้งแรกเป็นรถจักรยานสีแดง ครั้งที่สองได้เปลี่ยนสีพ่นทับเป็นสีดำ และครั้งที่สามได้พ่นสีทับเป็นสีเทาลัมโบร์กีนี และทั้งสามครั้งได้มีการเปลี่ยนเส้นทางในการขับขี่ทั้งหมด รวมถึงมีการสวมเสื้อทั้งสามชั้นและรองเท้าผ้าใบ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นด้วยหลักการทางนิติวิทยาศาสตร์จากตำรวจพิสูจน์หลักฐาน 7 จึงนำมาซึ่งการออกหมายจับกลุ่มสองคน
" ตอนนี้ผู้ต้องหาทั้งคู่ได้ถูกนำตัวไปฝากขังแล้ว แต่ยังมีการปกปิดถึงต้นตอของผู้จ้างวานซึ่งยังไม่จบในกระบวนการแค่นี้อย่างแน่นอนเราจะมีกระบวนการในการติดต่อเรื่องราวจนสาวไปถึงผู้บงการหลักในการจ้างวานครั้งนี้ให้ได้ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ท่านผู้บัญชาการตำรวจภาค 7 ได้สั่งการไว้ว่าจะมีการติดตามคดีอย่างเคร่งครัดและเอาจริงเอาจัง และไม่สนอิทธิพลว่าจะเป็นใครมาจากไหนซึ่งจะมีการติดตามจากกลุ่มผู้ต้องหาเพิ่มเติมอย่าง" ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมกล่าวปิดท้าย