In Global
จีนปักหมุดยุทธศาสตร์'เส้นทางสายไหม ขั้วโลก'พลิกโฉมการขนส่งยุคใหม่

จีนเดินหน้าขยายยุทธศาสตร์ทางทะเลสู่พื้นที่ขั้วโลกเหนือด้วยโครงการ “เส้นทางสายไหมขั้วโลก” หรือ Polar Silk Road (PSR) ซึ่งถือเป็นส่วนต่อขยายของโครงการสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ที่มีเป้าหมายเชื่อมโยงเอเชียกับยุโรปผ่านเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรอาร์กติก โครงการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการเปิดเส้นทางการค้าทางทะเลใหม่ที่ทั้งรวดเร็ว ประหยัดพลังงาน และลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป
แนวคิดของ Polar Silk Road ปรากฏในเอกสารสมุดปกขาว เรื่องนโยบายอาร์กติกของจีน ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคม 2018 โดยรัฐบาลจีนระบุว่า “อาร์กติก คือ แนวรบใหม่ของความร่วมมือระหว่างประเทศ” และการพัฒนาเส้นทางเดินเรือผ่านทะเลน้ำแข็งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสีฟ้า (Blue Economy) และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภูมิภาค
ล่าสุด สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ “อิสตันบูล บริดจ์” (Istanbul Bridge) ของบริษัท Sea Legend Line เดินทางจากท่าเรือหนิงป่อ–โจวซาน มณฑล เจ้อเจียงไปยังท่าเรือเฟลิกซ์สโตว์ของสหราชอาณาจักร ผ่านเส้นทางอาร์กติกเป็นครั้งแรก โดยใช้เวลาเพียง 20 วัน ซึ่งเร็วกว่าการเดินทางผ่านคลองสุเอซถึงครึ่งหนึ่ง เส้นทางใหม่นี้ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 50% และประหยัดต้นทุนพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการขนส่งระหว่างจีนกับยุโรป
ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย Fudan University วิเคราะห์ว่า เส้นทางนี้ยังช่วยลด “ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์” ที่เคยจำกัดการขนส่งสินค้าของจีนในเส้นทางตอนใต้ เช่น ช่องแคบมะละกา หรือคลองสุเอซ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิ เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม ยานยนต์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักในเศรษฐกิจพลังงานสะอาดของจีน
รายงานของ RAND Corporation 2025 ระบุว่า เส้นทางสายไหมขั้วโลก ไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางขนส่งเท่านั้น แต่เป็น “ยุทธศาสตร์ Soft Power” ของจีนผ่านความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้เข้าร่วมโครงการพลังงานขนาดใหญ่ในเขตอาร์กติกของรัสเซีย เช่น Yamal LNG Project ซึ่งมีกำลังผลิตก๊าซธรรมชาติของเหลวกว่า 16.5 ล้านตันต่อปี และถือเป็นโครงการพลังงานขั้วโลกที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการร่วมทุนจาก บริษัทน้ำมันแห่งชาติจีน (CNPC) และ Silk Road Fund ที่ช่วยตอบโจทย์ความมั่นคงด้านพลังงานของจีน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคอาร์กติก นอกจากนี้ ยังมีโครงการนำร่องความร่วมมือระหว่างบริษัทจีนอย่าง Huawei Alibaba และ SF Express กับภาคเทคโนโลยีของเอสโตเนีย เพื่อพัฒนาเส้นทางขนส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคบอลติก เป็นต้น
เส้นทางสายไหมขั้วโลก (Polar Silk Road) จึงเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งยุคใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์การขนส่งสินค้าทางทะเลของโลกในศตวรรษที่ 21 ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และภูมิรัฐศาสตร์ อย่างยั่งยืน
บทความ : ประวีณมัย บ่ายคล้อย
ภาพ : Courtesy of Ningbo Zhoushan Port