In Thailand

จัดพิธีวางพวงมาลา-ถวายบังคมยิ่งใหญ่ ที่โบราณสถานลายพระหัตถ์รัชกาลที่5



ปราจีนบุรี-จัดพิธีวางพวงมาลา-ถวายบังคมยิ่งใหญ่ที่โบราณสถานลายพระหัตถ์ย้อนรอยประวัติศาสตร์พระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) ทรงเสด็จประพาสดงศรีมหาโพธิ์ 

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรี  ณ สวนสาธารณะโบราณสถานลายพระหัตถ์ตำบลหนองโพรง อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี อนุสรณ์สถานที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่  ทรงเคยเสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรีที่อำเภอศรีมหาโพธิ ณ เทวสถานโบราณดงศรีมหาโพธิ พร้อมได้ทรงจารึกพระปรมาภิไธย “จปร 41/127” ลงบนแผ่นศิลาแลงขนาดสูง 1 เมตร กว้าง 50 เมตร ยาว 1 เมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นซากของอาคารเก่าในสมัยทวารวดี

นางสาวจุฑามาศ   บัวเผื่อนนาย อำเภอ ศรีมหาโพธิ เป็นประธานในพิธีพิธีวางพวงมาลาและถวายราชสดุดีเนื่องในวันคล้ายวัน สวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมจะเกล้าเจ้าอยู่หัว"วันปิยมหาราช"พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น  ภาคเอกชนและภาคประชาชนวางพวงมาลาเบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พบส่วนใหญ่ล้วนโทนสีชมพู   จากนั้นกล่าวคำถวายราชสดุดุดี พร้อมพิธีถวายบังคมโดยนักเรียนโรงเรียนวัดใหม่กรงทองในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมจำนวน 300 คนอย่างยิ่งใหญ่

ซึ่งที่ จ.ปราจีนบุรี พระราชกรณียกิจที่เหล่าพสกนิกรทุกหมู่เหล่าน้อมรำลึกถึง อาทิ ทรงเคยเสด็จประพาสต้นแม่น้ำปราจีนบุรีมามณฑลปราจีนบุรีดูแลทุกข์สุขของพสกนิกร พระองค์เสด็จโดยขบวนเรือพระที่นั่งไปตามลำน้ำบางปะกง เข้าสู่เมืองปราจีนบุรี เพื่อทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎร และเยี่ยมเยือนวัดวาอารามสำคัญในพื้นที่ ซึ่งกลายเป็นร่องรอยแห่งพระมหากรุณาธิคุณอันล้ำค่า ที่ชาวปราจีนบุรีรำลึกถึงตราบจนทุกวันนี้

ทรงเสด็จประพาสเมืองปราจีน จำนวน 2ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2415 และครั้งที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2451 โดยใช้เส้นทางตามคลองรังสิตคลอง 9 คลอง 10 ผ่านแม่น้ำนครนายกปากน้ำโยทะกาเข้าลำน้ำแม่น้ำปราจีนบุรี ขึ้นที่อำเภอศรีมหาโพธิ  พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (ในกาลต่อมารับราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6) พระราชบันทึกเรื่องราวการเสด็จประพาสโดยตลอดเส้นทางเสด็จ ดังนี้

วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2451 ทรงลงเรือล่องไปขึ้นที่ทุ่งพลับพลา ณ อำเภอเมืองปราจีนบุรี เพื่อเยี่ยมชมตลาดหน้าเมือง จากนั้นล่องเรือขึ้นมาตามลำน้ำ เสวยพระกระยาหารที่ตำบลศรีมหาโพธิ ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นโคกสูง อยู่ทางใต้ของวัดอินทรแบกลงมา  และได้ล่องเรือต่อไปยังพลับพลาที่ประทับแรม ณ อำเภอศรีมหาโพธิ โดยทรงประทับพักแรมเป็นเวลา 1 คืน

ได้ทรงช้างไปยังบ้านโคกขวางเพื่อทอดพระเนตรโบราณสถานบ้านพานหิน โบราณสถานลายพระหัตถ์ และโบราณสถานหลุมเมือง ณ เทวสถานโบราณดงศรีมหาโพธิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้จารึกพระปรมาภิไธย “จปร 41/127”ลงบนแผ่นศิลาแลงขนาดสูง1เมตรกว้าง50เมตรยาว 1 เมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นซากของอาคารเก่าในสมัยทวารวดี โดยมีความหมายคือ 41 หมายถึงปีที่รัชกาลของพระองค์ และ 127หมายถึง ร.ศ. 127 ที่พระองค์ได้เสด็จประพาสมายังเมืองศรีมหาโพธิ

ในปี พ.ศ. 2457 ชาวเมืองศรีมหาโพธิ จึงสร้างมณฑปคลุมหินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธยไว้ ต่อมาได้เกิดชำรุดจึงได้มีการสร้างมณฑปใหม่ขึ้นมาทดแทนมณฑปเดิม  เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีลวดลายปูนปั้นรูปครุฑ ลายดอกไม้ เรียกสถานที่นี้ว่า “อนุสาวรีย์ลายพระหัตถ์” หรือ “ลายพระหัตถ์” 

จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินต่อไปที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมโหสถ โดยในพระราชหัตถเลขา ระบุว่า…“ดงศรีมหาโพธินี้ ได้ชื่อจากต้นโพธิ์ต้นหนึ่ง ซึ่งว่าเป็นโพธิ์เก่าแก่ เป็นที่นับถือสักการะบูชา ระยะห่างจากโคกฝางนี้ประมาณเช้าชั่วเพลแต่ก็อยู่ชายดง ว่าโพธิ์นั้นตั้งอยู่บนโนน แต่คนแก่เขาบอกว่าไม่ใช่โนน เป็นทรายที่คนนับถือไปบูชา กองพอก ๆ ขึ้นไปจนเป็นโนนสูงสัก 6 ศอกเศษ มีพระรูปหนึ่งออกมาสร้างวัด เรียกชื่อว่าหลวงพ่ออิฐ จะถามหาปีเดือนว่าได้สร้างเมื่อใดก็บอกไม่ถูก ได้ความแต่ว่าวัดนั้น ได้สร้างมาแต่เมื่อยายแก่อายุ 60 ปี ได้เห็นเป็นวัดอยู่แล้ว พระเป็นไทยบ้าง ลาวบ้างปนกัน มีพระบาทจำลอง   ฤดูเดือนห้า ราษฎรพากันไปไหว้ต้นโพธิ์และพระบาท มาแต่ไกลจากเมืองพนมสารคามท่าประชุมและที่อื่น ๆ เป็นตลาดนัดซื้อขายจอแจกัน 2 วัน 3 วัน และมีดอกไม้เพลิงบ้องไฟเป็นต้นมาจุดในการ นักขัตฤกษ์นี้”…

สำหรับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ เชื่อว่าเป็นหน่อที่ได้มาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย มีอายุมากกว่า 2,500 ปี ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ต้นโพธิ์นี้มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติโดยกรมศิลปากร 

และ ในคราวเสด็จประพาสครั้งนั้น ได้เสด็จถึง วัดบางแตน อำเภอบ้านสร้าง พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เรือบิณฑบาต และ ปิ่นโต แด่พระภิกษุในวัด ถือเป็นของพระราชทานที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาและเป็นสิ่งล้ำค่าทางจิตใจของพุทธศาสนิกชน ต่อมาได้มีการสร้าง “พระบรมราชนานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ภายในบริเวณพลับพลาดังกล่าว ให้ประชาชนได้กราบสักการะและน้อมรำลึกถึงพระองค์ทุกปีในวันสำคัญ

นอกจากวัดบางแตนแล้วยังเสด็จไปยัง วัดบางกระเบา ได้ทรงพระราชทาน “เรือเก๋งจีน” แด่ หลวงพ่อจาด คงฺคสโร หรือ พระครูสิทธิสารคุณ พระเกจิอาจารย์ผู้มีเมตตาและเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน เพื่อใช้ในการเดินทางเผยแผ่พระธรรมและประกอบกิจทางศาสนา เรือพระราชทานลำนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในวัดจนถึงปัจจุบัน และนับเป็นเครื่องหมายแห่งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างพระมหากษัตริย์กับพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ 

มานิตย์ สนับบุญ-ข่าว/ณัฐนันท์ – ภาพ / ปราจีนบุรี