Think In Truth

อาเซียนบนภูมิรัฐศาสตร์ใหม่: กับความ เคลื่อนไหวพญาอินทรีย์  โดย ฟอนต์ สีดำ



เวทีการทูตแห่งการเปลี่ยนผ่าน: การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2568 เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้ต้อนรับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 47 ท่ามกลางกระแสความตึงเครียดและความไม่แน่นอนของระเบียบโลกใหม่ การเดินทางมาเข้าร่วมประชุมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกลับมามีอำนาจอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงการปรับยุทธศาสตร์ของวอชิงตันต่อภูมิภาคนี้ในเชิงลึก

อาเซียนในวันนี้มิได้เป็นเพียงภูมิภาคแห่งเศรษฐกิจเกิดใหม่ หากแต่เป็น “จุดเชื่อมเชิงยุทธศาสตร์ของโลก” ที่มหาอำนาจทั้งตะวันตกและตะวันออกต่างให้ความสำคัญ การเข้าร่วมประชุมของทรัมป์ไม่เพียงมีความหมายทางการทูต หากยังเป็นการส่งสัญญาณถึงยุคแห่งการจัดระเบียบภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังกลายเป็นเวทีแข่งขันของอำนาจระดับโลก

โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์แสดงท่าทีที่จะร่วมเป็น “พยานในการลงนามหยุดยิงระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา” ซึ่งเป็นจุดร้าวทางการทูตที่คุกรุ่นมายาวนานในพื้นที่ชายแดน การเข้ามามีส่วนร่วมของผู้นำสหรัฐฯ จึงมิใช่เพียงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หากเป็นการวางหมากทางยุทธศาสตร์ในสมรภูมิอาเซียน ที่มีทั้งมิติของการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจในระยะยาว

การปรับสมดุลแห่งอำนาจ: สันติภาพชายแดนในฐานะ “สะพานเชื่อมภูมิรัฐศาสตร์ใหม่”

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเคยผ่านช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาพรมแดนรอบปราสาทพระวิหาร หรือการปะทะตามแนวชายแดน การที่ทั้งสองประเทศตัดสินใจลงนามในข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการต่อหน้าผู้นำอาเซียน และโดยมีสหรัฐฯ เป็นสักขีพยาน จึงนับเป็น “สัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลง” ในทิศทางความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก

หากมองในเชิงลึก นี่คือการฟื้นฟู “ความเชื่อมั่นทางภูมิรัฐศาสตร์ของอาเซียน” ที่สูญเสียไปจากความขัดแย้งยืดเยื้อ การที่ทรัมป์ปรากฏตัวในพิธีลงนามสะท้อนถึงความพยายามของวอชิงตันที่จะเข้ามามีบทบาทใน “ความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” อีกครั้ง หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ต้องถอยจากเวทีภูมิภาคในบางประเด็นเพราะถูกจีนขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง

ในอีกด้านหนึ่ง สันติภาพชายแดนไทย–กัมพูชาอาจเปิดทางให้เกิดการลงทุนข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในโครงการเศรษฐกิจสามเหลี่ยมอินโดจีน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงจากอ่าวไทยสู่ทะเลจีนใต้ อันจะกลายเป็น “เส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ” ที่เชื่อมโลกตะวันตกกับเอเชียใต้และตะวันออก

จากข้อตกลงหยุดยิงสู่การฟื้นฟูภูมิภาค: บทบาทของอาเซียนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

การหยุดยิงไม่ใช่จุดจบของความขัดแย้ง แต่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างสันติภาพถาวร อาเซียนซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงกลุ่มเศรษฐกิจ กำลังแปรสภาพเป็น “กลุ่มพันธมิตรทางความมั่นคงแบบอ่อน (Soft Security Alliance)” ที่เน้นการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองเพื่อเอื้อต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและการค้าการลงทุน

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี การคงอยู่ของความขัดแย้งทางทหารไม่เพียงสร้างความสูญเสียทางชีวิต หากยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนระดับโลก ดังนั้น การหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีผู้นำสหรัฐฯ เข้าร่วมรับรอง จะยิ่งส่งผลเชิงบวกต่อเสถียรภาพของทั้งภูมิภาค และเปิดประตูให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระดับฐานราก

ที่สำคัญคือ อาเซียนกำลังเข้าสู่ “ยุคเศรษฐกิจโปร่งใส (Transparent Economy)” ที่จะใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบทางการเงินดิจิทัลเข้ามาแทนระบบเดิม การสร้างความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์จึงเป็นรากฐานที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อโลก

วาระอ่อนไหวในที่ประชุม: อาชญากรรมข้ามชาติในฐานะภัยต่ออธิปไตยและระบบการเงิน

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่คาดว่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างเข้มข้นในการประชุมครั้งนี้ คือ “อาชญากรรมข้ามชาติ” ซึ่งได้กลายเป็นภัยคุกคามใหม่ของโลกยุคดิจิทัล อาชญากรรมประเภทนี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อปัจเจกบุคคล หากแต่บั่นทอนรากฐานของรัฐชาติ และแทรกซึมในระบบการเงินระหว่างประเทศ

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกรมเมอร์ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด ได้พัฒนาโครงสร้างการดำเนินงานที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือปิดบังเส้นทางการเงิน ขณะที่รายได้มหาศาลจากอาชญากรรมเหล่านี้ถูกนำไปฟอกผ่านธุรกรรมออนไลน์ โดยเฉพาะในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี การเงินมืดจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ปัญหาความมั่นคงระดับชาติ” ที่ทุกประเทศในอาเซียนจำเป็นต้องร่วมมือกันรับมือ

ในบริบทนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอแนวทางจัดตั้ง “คณะทำงานพิเศษด้านการข่าวอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Crime Intelligence Taskforce)” เพื่อสร้างฐานข้อมูลร่วมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรนอกภูมิภาค ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการติดตามเส้นทางการฟอกเงินและการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเรียลไทม์

เงามืดของเศรษฐกิจโลก: อาชญากรรมข้ามชาติกับระบบการเงินใต้ดิน

องค์การสหประชาชาติผ่านสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) รายงานว่า มูลค่าของกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติทั่วโลกอาจสูงถึง 2–3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่ถูกหมุนเวียนผ่านระบบการเงินนอกชายฝั่ง (Offshore Finance) และแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตรวจสอบได้ยาก

การฟอกเงินที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมไซเบอร์และการค้ามนุษย์ได้สร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อระบบธนาคารในหลายประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นจุดผ่านของธุรกรรมจำนวนมหาศาล ความร่วมมือในระดับอาเซียนจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการจัดระเบียบการเงินใหม่ ที่จะเพิ่มกลไกการตรวจสอบและการรายงานธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง

นี่อาจเป็นสัญญาณของ “การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของระบบการเงินโลก” ที่จะเคลื่อนไปสู่การใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยทางการเงินขั้นสูง เช่น บัญชีดิจิทัลที่มีรหัสประจำตัวระดับควอนตัม และการตรวจสอบธุรกรรมด้วย AI แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถป้องกันการฟอกเงินและการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินเถื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปราบปรามสแกรมเมอร์และสงครามไซเบอร์: จุดเริ่มต้นของภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัล

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การขยายตัวของแก๊งสแกรมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ได้กลายเป็นปัญหาระดับชาติของหลายประเทศในอาเซียน โดยมีฐานปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนของไทย กัมพูชา และเมียนมา ปัญหานี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของอาชญากรรมทั่วไป หากแต่สะท้อนถึง “ช่องว่างทางอธิปไตยทางดิจิทัล” ที่แต่ละประเทศยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์

การร่วมมือของสหรัฐฯ ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการสืบสวนทางไซเบอร์ (Cyber Forensic Technology) ให้กับหน่วยงานในภูมิภาค จึงถือเป็นการวางรากฐานของ “ภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Geopolitics)” ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมแนวทางการบังคับใช้กฎหมายในอนาคต และนำไปสู่การสร้าง “สถาปัตยกรรมความมั่นคงไซเบอร์อาเซียน (ASEAN Cyber Security Architecture)” ที่จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและการเงินโลกโดยตรง

ในมิติที่ลึกกว่านั้น การเข้มงวดในการตรวจสอบธุรกรรมดิจิทัลและการจำกัดการฟอกเงินจะทำให้ระบบการเงินโลกมีความโปร่งใสมากขึ้น นี่อาจเป็นก้าวแรกสู่ “ยุคการเงินโปร่งใสระดับโลก (Global Transparent Finance)” ที่สอดคล้องกับแนวคิดระบบการเงินยุคใหม่ เช่น QFS (Quantum Financial System) ที่หลายประเทศเริ่มพูดถึงในฐานะเทคโนโลยีแห่งอนาคต

ผลกระทบเชิงระบบ: การเงินโปร่งใส ความร่วมมือใหม่ และการลดบทบาทศูนย์นอกชายฝั่ง

ผลของการรวมพลังระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติจะขยายผลในสามมิติหลัก ได้แก่

  1. ความโปร่งใสทางการเงิน (Financial Transparency):
    ธนาคารและสถาบันการเงินจะต้องเปิดเผยเส้นทางการเงินอย่างละเอียดมากขึ้น เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุน ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างของระบบการฟอกเงินและการใช้บัญชีม้า
  2. การควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Regulation):
    จะมีการกำหนดมาตรฐานกลางของอาเซียนในการแลกเปลี่ยนข้อมูลคริปโทเคอร์เรนซี การตรวจสอบวอลเล็ตร่วม และการสร้างฐานข้อมูลกลางเพื่อป้องกันการฟอกเงิน
  3. การลดบทบาทของศูนย์การเงินนอกชายฝั่ง (De-Offshorization):
    เมื่อระบบตรวจสอบของอาเซียนเข้มแข็งขึ้น การฟอกเงินผ่านเกาะเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ จะถูกจำกัดลง โลกการเงินจะค่อย ๆ กลับเข้าสู่ระบบที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐชาติและองค์กรระหว่างประเทศ

ผลลัพธ์ในระยะยาว คือการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก จากกลุ่มทุนที่อาศัยระบบนอกชายฝั่ง กลับคืนสู่กลไกรัฐที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าเดิม

บทสรุป: จุดเริ่มต้นของยุคแห่งความร่วมมือโปร่งใส

การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 47 จึงอาจถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนของภูมิรัฐศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ไม่เพียงเพราะมีการลงนามหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่ภูมิภาคนี้ประกาศเจตจำนงชัดเจนว่าจะร่วมมือกันต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติในทุกรูปแบบ

เมื่อสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ผลักดันความร่วมมือทางความมั่นคงและการเงินโปร่งใส ภูมิภาคอาเซียนก็อาจกลายเป็น “ต้นแบบของโลกใหม่” ที่ผสานสันติภาพ การค้า และความโปร่งใสทางเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน

ในระยะยาว การประชุมครั้งนี้จะไม่เพียงสร้างความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ยังปูทางไปสู่การปรับโครงสร้างระบบการเงินโลก ให้กลับมามีความสมดุล โปร่งใส และเป็นธรรมมากขึ้น โลกอาจกำลังเดินเข้าสู่ยุคแห่ง “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจดิจิทัล” ที่ความร่วมมือระหว่างอาเซียนและมหาอำนาจตะวันตก จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการฟื้นฟูศรัทธาในระบบเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

แหล่งอ้างอิง

  • United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC), Global Report on Transnational Organized Crime, 2024–2025.
  • ASEAN Secretariat, Draft Agenda for the 47th ASEAN Summit, Kuala Lumpur, 2025.
  • U.S. Department of State, Briefing on Transnational Crime and Digital Finance Cooperation, 2025.
  • World Economic Forum, Global Risk Report on Cybercrime and Illicit Finance, 2024.
  • The Diplomat, ASEAN Security and Economic Integration in the Digital Age, 2025.