In News
ส่งออกไทยสุดปัง!9เดือนขยายตัว13.9% ตลาดสหรัฐฯเติบโต35.3%/จีนแค่3.2%
นนทบุรี-ส่งออกไทย เดือน ก.ย. โต 19% สูงสุดในรอบ 42 เดือน คาด ทั้งปีมูลค่าอาจสูงสุด "เป็นประวัติการณ์" ขณะที่การส่งออก 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวที่ 13.9% ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว ข้าว พบว่าหดตัว 31.4% และหดตัวต่อเนื่อง 11 เดือนติดกัน นอกจากนี้ยังมียางพารา ที่หดตัว 15.3% รวมถึงผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ขณะที่ตลาดส่งออก สหรัฐขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งขยายตัวอยู่ที่ 35.3% และขยายตัวต่อเนื่องติดกัน 24 เดือนและ จีน พบว่าขยายตัว 3.2% และขยายตัวต่อเนื่องติดกัน 12 เดือน นอกจากนี้ยังมี ญี่ปุ่น อาเซียน และในตลาดรอง เช่น เอเชียใต้ ทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และตลาดลาตินอเมริกา และแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะยังคงขยายตัวแม้จะอยู่ในอัตราที่ชะลอลง
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยข้อมูลการส่งออกของไทยในเดือนกันยายน 2568 พบว่า มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 30,970.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,000,905 ล้านบาท และพบว่าขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ที่ 19% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงสูงสุดในรอบ 42 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 และหากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกในเดือนกันยาจะขยายตัวอยู่ที่ 15.7%
ไทย-สหรัฐฯ ตั้งกรอบยกระดับเศรษฐกิจคู่ขนาน หวังจบได้ในปีนี้"สงครามการค้า" รอบใหม่ระอุ 1 พ.ย. นี้ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100%
ขณะที่การส่งออก 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวที่ 13.9% และหากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันทองคำและยุทธปัจจัย จะขยายตัวที่ 13.6%

โดยการส่งออกที่ขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นนั้น เป็นไป ตามความชัดเจนของมาตรการภาษีนำเข้าต่างตอบแทนของสหรัฐที่ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงสัญญาณการผ่อนคลายของนโยบายการค้าของสหรัฐมีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศการค้าโลกฟื้นตัว และการส่งออกไปยังตลาดหลักและตลาดรองกลับมาขยายตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ นายนันทพงษ์ ได้เปิดเผยมูลค่าการค้ารวมในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนกันยายน 2568 ด้วยว่า การส่งออก มีมูลค่า 30,970.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 19% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 29,695.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.2% ขณะที่ดุลการค้า พบว่าเกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่งผลให้ภาพรวมใน 9 เดือนแรกของปี การส่งออกมีมูลค่า 254,146.5 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 13.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้ามีมูลค่า 254,575.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.9% ส่วนดุลการค้าในช่วง 9 เดือนแรกของปีพบว่าขาดดุล 429.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่มูลค่าการค้ารวมในรูปของเงินบาท เดือนกันยายน 2568 นายนันทพงษ์ ระบุว่า การส่งออก มีมูลค่า 1,000,905 ล้านบาท ขยายตัว 12.4% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 971,760 ล้านบาท ขยายตัว 10.7% ส่วนดุลการค้า พบว่าเกินดุล 29,145 ล้านบาท
ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออก มีมูลค่า 8,397,219 ล้านบาท ขยายตัว 5.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 8,516,656 ล้านบาท ขยายตัว 3.8% และพบว่าดุลการค้า ขาดดุล 119,437 ล้านบาท

สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย ยังคงอยู่ในภาวะหดตัว ซึ่งพบว่า 8.1% และหดตัวต่อเนื่อง 2 เดือนติดต่อกัน โดยสินค้าเกษตรพบว่าหดตัว 18.2% หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 4.1% ซึ่งกลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ไก่แปรรูป ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ รวมถึงกุ้งสด แช่เย็น และแช่แข็ง
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ข้าว พบว่าหดตัว 31.4% และหดตัวต่อเนื่อง 11 เดือนติดกัน นอกจากนี้ยังมียางพารา ที่หดตัว 15.3% รวมถึงผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรพบว่ายังขยายตัวอยู่ที่ 0.6%
สำหรับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม พบว่า มูลค่าการส่งออก ขยายตัว 26.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดกัน 18 เดือน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว พบว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รวมถึงรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นอกจากนี้ยังมีอัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่รวมทองคำ เป็นต้น
ส่วนสินค้าที่หดตัว พบว่าเป็นสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัว 11.7% และหดตัวต่อเนื่องติดกัน 6 เดือน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หดตัว 5.9% เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ หดตัว 17% เป็นต้น ทั้งนี้ใน 9 เดือนแรกของปีการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมพบว่าขยายตัว 18.6%
นายนันทพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่พบว่าขยายตัว โดยการส่งออกไปยังสหรัฐขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งขยายตัวอยู่ที่ 35.3% และขยายตัวต่อเนื่องติดกัน 24 เดือน แม้จะเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง

ขณะเดียวกันการส่งออกตลาดอื่นๆ อย่างเช่น จีน พบว่าขยายตัว 3.2% และขยายตัวต่อเนื่องติดกัน 12 เดือน นอกจากนี้ยังมี ญี่ปุ่น อาเซียน และในตลาดรอง เช่น เอเชียใต้ ทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และตลาดลาตินอเมริกา ที่พบว่าการส่งออกขยายตัว ซึ่งสะท้อนถึงการตอบสนองต่อมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐด้วยการกระจายตลาดทางเลือกใหม่
ส่วนแนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป นายนันทพงษ์ ระบุว่า แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะยังคงขยายตัวแม้จะอยู่ในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่ยังยังคงมีความต้องการในตลาดโลก
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ค่าเงินบาท มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่สร้างแรงกดดันและความผันผวนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และความเสี่ยงจากภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐ ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งขับเคลื่อน นโยบายหลายด้าน ทั้งการเจรจากับคู่ค้าเพื่อเพิ่มการนำเข้า เร่งปิดดีล FTA ที่อยู่ระหว่างเจรจา เข้มงวดการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าในกลุ่มเฝ้าระวัง รวมถึงสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้
โดยเป้าหมายการส่งออกของไทยทั้งปี 2568 สนค.คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 9.4-10.4% คิดเป็นมูลค่า 329,146.5 - 332,146.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 10,530,000 -10,670,000 ล้านบาทจากเดิมที่ สนค. ได้กำหนดเป้าการส่งออกไว้ที่ 2-3% เมื่อต้นปี
อย่างไรก็ตาม การที่จะทำให้ตัวเลขการส่งออกของไทยเป็นไปได้ตามเป้าหมายใหม่นั้น จะต้องผลักดันตัวเลขการส่งออกในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ ให้ได้ 25,000 -26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือต้องทำให้ขยายตัวที่ 4% ต่อเดือน จึงจะทำให้ตัวเลขการส่งออกอยู่ในระดับเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้ ซึ่งถ้าหากสามารถทำได้จะถือว่ามูลค่าการส่งออกของไทยในปีนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจากนี้ นายนันทพงษ์ ระบุว่า สำหรับการส่งออกปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นั้น เนื่องจาก เริ่มเห็นความชัดเจนของมาตรการภาษีนำเข้าต่างตอบแทนของสหรัฐ และสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการค้าของสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บรรยากาศการค้าโลกฟื้นตัว รวมถึงแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฟื้นตัวขึ้น
ขณะเดียวกัน หากการส่งออกไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เติบโตได้ค่อนข้างสูง ก็อาจจะทำให้การส่งออกในปี 2569 ตัวเลขจะไม่สูงเท่ากับปีนี้ โดย กระทรวงพาณิชย์จะกำหนดเป้าหมายการส่งออกของปีหน้า ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ภายหลังจากหารือกับภาคเอกชนและทูตพาณิชย์ประจำประเทศต่างๆเสร็จสิ้น
ส่วนกรณีที่ไทยได้มีการลงนามบรรลุข้อตกลงกรอบการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐ และ การร่วมลงนามในเอกสาร Joint Decoration ระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อกำหนดแนวทางสร้างสันติภาพกับกัมพูชา ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย ที่ผ่านมานั้น
สนค. คาดว่าจะส่งผลให้บรรยากาศการค้าระหว่างประเทศดีขึ้นในระยะต่อไป แต่ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการเจรจาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่าผลลัพธ์โดยตรงอาจจะมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐในขณะนี้มีการขยายตัวในอัตราที่สูงอยู่แล้ว จะเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกไทยไปสหรัฐเดือนกันยายน ที่ขยายตัวสูง ใน 35.3%
