Biz news
ซูมศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขฯ วิสาหกิจต้นแบบบ้านพระแก้า-ชัยนาท
ทุกครั้งที่ฤดูฝนเวียนมา ทุ่งนาทั่วไทยถูกแต่งแต้มเป็นสีเขียวชอุ่มอีกครั้ง เกษตรกรนับล้านลงแรงหว่านเมล็ดพันธุ์ด้วยความหวังว่าจะขายข้าวได้ราคาดี มีรายได้เลี้ยงครอบครัวอย่างมั่นคง แต่ความเป็นจริงในทุกฤดูกาลแทบจะไม่แตกต่างกันมากนัก คนทำนายังต้องเผชิญกับต้นทุนสูง รายได้น้อยไม่แน่นอน ปัญหาการถูกกดราคา รวมถึงการทำนาแบบดั้งเดิมที่สืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งอาจไม่สามารถปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันวิธีการทำนาแบบดั้งเดิมที่ “ขังน้ำไว้ในแปลง” ตลอดฤดูกาล แม้จะช่วยควบคุมวัชพืชได้ดี แต่กลับทำให้ดินขาดออกซิเจน จุลินทรีย์จึงปล่อยก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล กลายเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่เร่งภาวะโลกร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า
ทำให้เกิดคำถามว่า “เราจะปลูกข้าวอย่างไร ให้ได้ทั้งผลผลิต และความยั่งยืน” ซึ่งคำตอบนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า บ้านพระแก้ว จ.ชัยนาท ที่เข้ามายกระดับวิถีเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง AWD (นาเปียกสลับแห้ง), Zero Broadcast (ปลอดนาหว่าน) และ Zero Burn (ปลอดการเผา) เพื่อเปลี่ยนการทำนาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม บทความวันนี้จะขอพาทุกคนไปสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืน ของ “ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า บ้านพระแก้ว” โมเดลต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่า “การทำนาไทย” สามารถเปลี่ยนจากการทำนาข้าวแบบดั่งเดิม ไปสู่การทำนาข้าวในรูปแบบใหม่ที่เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้มั่นคงและยังคงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้จริง
สยามคูโบต้ากับเป้าหมายสู่การปลูกข้าวโลว์คาร์บอนครบวงจร
ภายใต้โจทย์ใหญ่เรื่องการผลิตข้าวอย่างไรให้เลี้ยงคนได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สยามคูโบต้ามองเห็นความจำเป็นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม และวางเป้าหมายระยะยาวสู่ KUBOTA NET ZERO EMISSION หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
โดย นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้นของโครงการว่า ก่อนจะกลายเป็นต้นแบบเกษตรคาร์บอนต่ำอย่างทุกวันนี้ ชาวบ้านพระแก้ว อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เคยเผชิญกับความท้าทายเช่นเดียวกันกับเกษตรกรไทยทั่วประเทศ ทั้งต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอน และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเปิดรับแนวทางใหม่ๆ ทางการเกษตร วันนี้เกษตรกรไทยกำลังค่อย ๆ ก้าวสู่การทำเกษตรที่ยั่งยืนมากขึ้น ทั้งเพื่อความมั่นคงในอาชีพและคุณภาพชีวิตของครอบครัว
ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า บ้านพระแก้ว...โจทย์แห่งความท้าทายที่เปลี่ยนวิถีเกษตรแบบเดิม
ท่ามกลางโจทย์ท้าทายของภาคเกษตร กลุ่มเกษตรกรบ้านพระแก้วเริ่ม “ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง” ในปี 2559 ด้วยการเข้าร่วม โครงการแปลงทดสอบปลูกข้าวด้วยรถดำนาคูโบต้า (Pilot Field) เพื่อทดลองเทคนิคการหยอดข้าวน้ำตมแบบใหม่ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก การทดลองครั้งนั้นไม่เพียงเปิดโลกทัศน์ให้กับชาวนาในพื้นที่ แต่ยังทำให้เห็นศักยภาพของการใช้เทคโนยีการเกษตรมาช่วยพัฒนารูปแบบการทำนาในมิติใหม่ และต่อยอดไปสู่เกษตรปลอดนาหว่าน (Zero Broadcast) ทั้งการหยอดข้าวแบบน้ำตม การหยอดแห้ง และการปักดำอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันยังเริ่มนำ Farm Management System มาเก็บข้อมูลและวิเคราะห์แปลงนาอย่างละเอียด พร้อมร่วมมือกับศูนย์วิจัยและพัฒนาคูโบต้าเอเชีย (KUBOTA Research & Development Asia: KRDA) ในการพัฒนาระบบ IoT เพื่อติดตามกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เราไม่ได้ทำเพียงแค่เอาเทคโนโลยีเข้าไป แต่เข้าไปช่วยวางโครงสร้างการจัดการ เพื่อให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการการเพาะปลูกและผลผลิตอย่างแม่นยำได้เองในระยะยาว” นางวราภรณ์ กล่าวย้ำ เมื่อเกษตรกรในชุมชนเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่ลดลง ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการมีองค์ความรู้และความเข้าใจในระบบการเพาะปลูกมากขึ้น กลุ่มบ้านพระแก้วจึงได้รับการคัดเลือกเข้าสู่โครงการ “ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า” ในปี 2563–2564 อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งได้รับสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตร อาทิ รถแทรกเตอร์ รุ่น L5018 ขนาด 50 แรงม้า และมีการทำแปลงสาธิตการปลูกข้าวแบบหยอดแห้ง 15 ไร่ ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของผืนนาที่บริหารจัดการได้จริง ในด้านการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน
ด้าน นายบุญฤทธิ หอมจันทร์ ประธานวิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้ว เล่าย้อนว่า เมื่อก่อนการรวมกลุ่มของชาวบ้านพระแก้วยังไม่มีโครงสร้างชัดเจน มีเพียงประธานที่เป็นหลักในการขับเคลื่อนกิจกรรม ขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ด้านการตลาด และยังยึดติดวิธีการทำนาแบบ “นาหว่าน” เพราะทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทว่าผลลัพธ์กลับไม่คุ้มค่า ทำให้พื้นที่กว่า 577 ไร่ ที่ใช้วิธีนาหว่านนี้มีต้นทุนเฉลี่ยสูงถึง 5,260 บาทต่อไร่ แม้จะได้ผลผลิตเฉลี่ย 700 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อหักต้นทุนแล้วทำให้รายได้ติดลบ 1,060 บาทต่อไร่ เมื่อสยามคูโบต้าเข้ามาถ่ายทอดนวัตกรรม Smart Farming ให้กับชุมชนบ้านพระแก้ว โดยเฉพาะเทคนิคการใช้รถดำนา การทำนาหยอดตมและหยอดแห้ง ผลลัพธ์ที่ได้กลับต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเกษตรกรที่ปรับมาใช้เทคนิคจากสยามคูโบต้าก็พบว่า ต้นทุนต่อไร่ลดลงเหลือเพียง 4,855 บาท แต่สามารถสร้างรายได้ 533 – 2,754 บาทต่อไร่ ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ชาวบ้านเชื่อมั่นว่า การปรับวิถีสู่ Smart Farming ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนลงเกือบครึ่ง แต่ยังเปิดประตูสู่รายได้ที่มั่นคงมากขึ้น
พลิกพืชธรรมดา…สู่สินค้าพรีเมียมและโอกาสทางตลาดใหม่
หลังจากปรับเปลี่ยนระบบการผลิตให้มีประสิทธิภาพแล้ว กลุ่มบ้านพระแก้วได้เดินหน้าต่อยอด “คุณภาพ” อย่างจริงจัง เพื่อเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของสินค้า โดยนำมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) และ GMP (Good Manufacturing Practice) มาเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับกระบวนการผลิต ถือเป็น “ใบเบิกทาง” สู่ตลาดเกษตรพรีเมียมอย่างแท้จริง
เพื่อให้ระบบนี้เติบโตอย่างยั่งยืน กลุ่ม SKCE-บ้านพระแก้ว จึงเริ่มดำเนินการโครงการปลูกผักสวนครัวเชิงพาณิชย์มาตรฐาน GAP ในปี 2565–2567 โดยมีสมาชิก 16ราย บนพื้นที่ 4 ไร่ ปลูกพืชกว่า 9 ชนิด รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น 3,000–8,000 บาทต่อเดือน กระจายผลผลิตไปสู่บริษัทที่รับซื้อสินค้าเกษตร รวมถึงจำหน่ายผ่านตลาดชุมชนในอำเภอ ทำให้เกิดระบบกระจายรายได้ต่อเนื่องตลอดปี
ปัจจุบันเกษตรกรใน กลุ่ม SKCE-บ้านพระแก้ว ได้รับการรับรอง GAP และ GMP ครบถ้วนในหมวดผักมูลค่าสูง อาทิ โหระพา ต้นหอม มะเขือเจ้าพระยา พริกจินดา ผักชีฝรั่ง ผักชีไทย ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง และขึ้นฉ่าย
พืชเหล่านี้มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ช่วยสร้าง “กระแสเงินสด” ให้กับครัวเรือนและเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ตลอดทั้งปี ขณะที่ “ข้าว” ก็ได้รับการรับรองแล้วหลายสายพันธุ์ และอยู่ระหว่างการขยายผลให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยในปี 2568 สมาชิกกลุ่มสามารถสร้างรายได้รวมจากการจำหน่ายผักสวนครัวได้มากกว่า 190,000 บาท และในปี 2569 กลุ่มตั้งเป้าหมายขยายสมาชิกผู้ปลูกผักเป็น 40 คน บนพื้นที่ 10 ไร่ ผลิตผักได้ 300-500 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และสร้างรายได้ให้แต่ละครัวเรือนเฉลี่ยสูงถึง 120,000 บาทต่อปี เป้าหมายนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจชุมชนที่มั่นคงและยั่งยืน ผ่านการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและตลาดรองรับอย่างชัดเจน
สยามคูโบต้า-บ้านพระแก้ว สานพลังชุมชนสู่โมเดลเกษตรโลว์คาร์บอนครบวงจร
บ้านพระแก้วไม่ได้เป็นเพียงทุ่งนาธรรมดา แต่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของศักยภาพ “เกษตรไทย” ที่สามารถพัฒนาไปสู่ความมั่นคงทางอาชีพและความยั่งยืนได้จริง ผ่านการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภายใต้โมเดล Smart Farming และแนวคิด Low Carbon Agriculture ที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ หัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้ คือ “คน” และ “ระบบ” ซึ่งที่บ้านพระแก้วมีผู้นำรุ่นใหม่ที่มองการณ์ไกล กล้าปรับตัว และนำองค์ความรู้ดั้งเดิมมาพัฒนาอย่างมีแบบแผน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ยกระดับมาตรฐาน GAP/GMP จนสามารถเปิดตลาดสินค้าเกษตรพรีเมียมได้สำเร็จ ทำให้ชุมชนเล็ก ๆ แห่งนี้ในจังหวัดชัยนาทก้าวขึ้นมาเป็น ต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรยั่งยืน ที่จับต้องได้จริง
ในขณะเดียวกัน สยามคูโบต้าก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่เพียงถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ แต่ยังร่วมวางระบบบริหารที่มั่นคง เพื่อปูทางสู่เป้าหมายใหญ่ “KUBOTA NET ZERO EMISSION” การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรให้สุทธิเป็นศูนย์ ผ่าน 3 นวัตกรรมสำคัญ ได้แก่ AWD (Alternate Wetting and Drying): นาเปียกสลับแห้ง Zero Burn: เกษตรปลอดการเผา Zero Broadcast: เกษตรปลอดนาหว่าน
แนวทางเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนและเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นการร่วมกันดูแลโลกในเชิงปฏิบัติอย่างแท้จริง
ฉายภาพ 3 ปี กับเป้าหมาย New High เพิ่มรายได้กว่า 20%
“วิสัยทัศน์ของเราจะไม่หยุดอยู่แค่วันนี้… ภายใน 3 ปีข้างหน้า กลุ่ม SKCE-บ้านพระแก้ว ตั้งเป้าให้สมาชิกเดิมมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% พร้อมเปิดประตูต้อนรับเกษตรกรรอบชุมชนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา ตั้งเป้าว่าจะช่วยให้สมาชิกใหม่มีรายได้เพิ่มไม่ต่ำกว่า 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน เราอยากเห็น ‘พืชมูลค่าสูง’ เติบโตจนมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 10% ของพื้นที่ทั้งหมด และก้าวต่อไปคือการผลักดันให้สินค้าเกษตรเกรดพรีเมียมภายใต้มาตรฐานอินทรีย์เกิดขึ้นจริงในชุมชนของเรา ภายในระยะเวลา 3 ปี” นายบุญฤทธิ กล่าวทิ้งท้าย
