In News
ภารกิจนายกฯเข้าร่วมประชุมเอเปคเกาหลี มั่นใจมีข่าวดีภาษีหลังพบ‘ทรัมป์’รอบ2
กรุงเทพฯ-นายกฯ หารือ SK bioscience เสริมความมั่นคงด้านวัคซีน ลดพึ่งพาต่างชาติ เพิ่มศักยภาพองค์การเภสัชกรรม รองรับการระบาดในอนาคต ช่วงค่ำเมื่อวานนี้นายกฯเผยการเจรจาภาษีศุลากร มีสัญญาณดี หลังพบ ปธน. ทรัมป์ ครั้งที่ 2 ก่อนการเข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเปคและก่อนหน้านี้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเป็นกรณีพิเศษ โดย ปธน.เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพ เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค สะท้อนบทบาทของผู้นำไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาคมโลก พร้อมเปิดไทม์ไลน์ภารกิจนายกฯ วันที่ 30 ต.ค. 2568 ก่อนเริ่มการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 ณ เมืองคยองจู เกาหลีใต้

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2568) เวลา 09.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ โรงแรม Commodore Gyeongju เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือทวิภาคีกับนายอัน แจ-ยง (Mr. Ahn Jaeyong) ประธานบริษัท SK bioscience Co., Ltd. และ นายเช แทวอน (Mr. Chey Tae-Won) โดยมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมหารือด้วย โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครั้งที่ตนเองดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2565 ก็ได้หารือเกี่ยวกับโครงการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่าง GPO และ NVI กับ SK bioscience รัฐบาลมีเป้าหมายชัดเจนต่อการเสริมสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนของไทย ส่งเสริมการใช้วัคซีนที่ผลิตในประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยกนะดับศักยภาพโรงงานผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรมไทย ให้สามารถพัฒนาวัคซีนที่ผลิตจะมีราคาเหมาะสมและประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ รวมถึงการมีวัคซีนที่ครอบคลุม เพี่อเป็นการเตรียมเพื่อเตรียมความพร้อมและรองรับ วิกฤตด้านสุขภาพ ด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังมีความคาดหวังว่า หาก มีความร่วมมือระหว่าง GPO และ SK bioscience ในการผลิตวัคซีน ไทยจะมีวัคซีนภายใน 100 วัน หากเกิดภาวะระบาดใหม่ ด้วยราคาเหมาะสม สามรถทำให้ราคาวัคซีนในประเทศลดลง และรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะลดความเสี่ยงต่อ ประชาชนกลุ่ม 608 ด้วย
โอกาสนี้ ประธานบริษัท SK bioscience Co., Ltd. ได้ กล่าว ถึงความร่วมือในการ ร่วมทุน (Joint Venture: JVC) กับองค์การเภสัชกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้การผลิตวัคซีน เชี่อว่า การร่วมมือกับไทย จะนำไปสู่การผลิตวัคซีนตามความคาดหวัง และขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้คำแนะนำในการพัฒนา วัคซีนที่ครอบคลุมและหลากหลาย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนทั้งในไทยและระดับภูมิภาคด้วย
อนึ่ง บริษัท SK bioscience มีพื้นฐานด้านธุรกิจวัคซีนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Seongnam-si จังหวัด Gyeonggi-do แบ่งส่วนงานหลักออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) Pangyo R&D Center ศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา และ (2) โรงงานผลิตวัคซีน Andong L-HOUSE ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล EU-GMP ผลิตภัณฑ์ของบริษัทครอบคลุมวัคซีนสำคัญหลากหลายชนิด อาทิ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเซลล์เพาะเลี้ยง วัคซีนสุกใส วัคซีนงูสวัด และวัคซีนไข้ไทฟอยด์ โดยบริษัทฯ มีศักยภาพการผลิตในโรงงานที่ทันสมัยและได้มาตรฐานสากล มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์วัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก มีพันธมิตรระหว่างประเทศซึ่งเพิ่มโอกาสทางการตลาดทั่วโลก ตลอดจนมีบทบาทสำคัญในธุรกิจที่รับจ้างผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาหรือเทคโนโลยีชีวภาพให้แก่บริษัทอื่น (CDMO/CMO) ที่กำลังเป็นที่ต้องการสูงในอุตสาหกรรมวัคซีนและเวชภัณฑ์ในปัจจุบัน
เผยการเจรจาภาษีศุลากรมีสัญญาณดีหลังพบทรัมป์รอบ2

เวลา 22.45 น.วันเดียวกัน ณ ชั้น 1 โรงแรม Commodore Hotel เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หลังการเข้าร่วม งานเลี้ยงอาหารค่ำ แก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคเป็นกรณีพิเศษ และได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีเผย สัญญาณดีในหลายเรื่อง ทั้งการคลี่คลายความขัดแย้งชายแดนไทย -กัมพูชา หลังการลงนามถ้อยแถลงร่วมฯ ฝ่ายกัมพูชาก็ได้มีการเริ่มปฏิบัติการตามข้อตกลง ซึ่งฝ่ายไทยก็ได้เตรียมการ ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามถ้อยแถลง โดยทั้งสองต่างมีเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จให้เร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจามาตรการภาษีสหรัฐฯ ว่า เรายังมีการเจรจาภาษีการค้ากันอยู่ กำลังรอร่างข้อตกลงล่าสุด (เวอร์ชั่นสุดท้าย) ที่จะลงนาม ซึ่งตนเองได้ขอให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยได้รับเงื่อนไขที่ดีมากกว่านี้ ท่านก็รับปากจะไปแจ้งให้กับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบ ให้มีการพูดคุยกัน เพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี จากการที่ได้มีการพูดคุยกับ ประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 2 ครั้งคือ ที่มาเลเซียครั้งหนึ่งและที่เกาหลีนี้ ก็ได้ย้ำกับท่านประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งท่านประธานาธิบดีได้รับปาก แสดงถึงทิศทางที่ดีสำหรับไทย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการร่วมประชุมเวทีระหว่างประเทศว่า สำหรับประเทศไทยเป็นสัญญาณที่ดีมากขึ้น จากการที่ได้ไปประชุมอาเซียน และต่อด้วยการประชุมเอเปค เชื่อว่า ไทยได้รับความสนใจจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยมีการหารือทวิภาคีกับผู้นำแทบทุกภาคีสมาชิก อาทิ นายกรัฐมนตรีแคนาดา ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ด้วย
นายกฯร่วมอาหารค่ำเป็นกรณีพิเศษโดยปธน.เกาหลีใต้

เวลา 18.30 น. วันที่29 ตุลาคม 2568 ณ ห้อง Ballroom ชั้น 1 โรงแรม Hilton Gyeongju เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคเป็นกรณีพิเศษ (Special Dinner in Honor of the U.S. President and State Leaders) ภายใต้หัวข้อ “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก” (Indo-Pacific Economic Corporation) ซึ่งนายอี แช มย็อง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพ โดยจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำเขตเศรษฐกิจพิเศษเอเปค
งานเลี้ยงอาหารค่ำดังกล่าวนับเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 โดยมีผู้นำจากเขตเศรษฐกิจสำคัญที่เข้าร่วมงานนี้ร่วมกับนายกรัฐมนตรี ได้แก่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ, นายอี แช มย็อง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้, นายแอนโทนี แอลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย, นายมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา, นายคริสโตเฟอร์ ลักซอน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์, นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ และนายเลือง เกื่อง ประธานาธิบดีเวียดนาม ซึ่งในช่วงก่อนงานเลี้ยงผู้นำทั้ง 8 ชาติ ได้พบปะพูดคุยกันตามอัธยาศัย ภายหลังอาหารค่ำ ผู้นำที่เข้าร่วมงานเลี้ยงได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก” (Indo-Pacific Economic Corporation)
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงในงานเลี้ยงอาหารค่ำ สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณประธานาธิบดี อี แช มย็อง สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงค่ำสุดพิเศษในครั้งนี้ และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อยู่ท่ามกลางพันธมิตรและหุ้นส่วนจากทั่วภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก ซึ่งต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นในภูมิภาค
ทั้งนี้ ไทยให้ความสำคัญกับความร่วมมือรอบด้านกับทุกพันธมิตร ทั้งในระดับทวิภาคี ระดับอนุภูมิภาค และระดับภูมิภาค ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น อาเซียน กรอบความร่วมมือแม่โขง และความตกลง RCEP โดยไทยและเกาหลีใต้กำลังเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน–เกาหลีใต้ กรอบแม่โขง–เกาหลีใต้ และการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPA) ขณะเดียวกัน ไทยยังทำงานร่วมกับสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง–สหรัฐฯ (Mekong–U.S. Partnership) และกรอบ ACMECS เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาค
นายกรัฐมนตรียังรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อการเข้าร่วมงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ต่อสันติภาพและความรุ่งเรืองในภูมิภาค พร้อมกล่าวขอบคุณที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนกระบวนการสร้างสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งนำไปสู่การลงนามใน Joint Declaration เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยหวังว่าสหรัฐฯ จะเห็นถึงความตั้งใจจริงและความพยายามอย่างสร้างสรรค์ของไทย เพื่อเปิดทางสู่การเจรจาข้อตกลงการค้าไทย–สหรัฐฯ ที่สมดุลและเกิดประโยชน์ร่วมกันต่อประชาชนของไทยและสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ภูมิภาคอินโด–แปซิฟิกเป็นหนึ่งในกลไกหลักของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีศักยภาพสูงจากประชากรที่ขยันขันแข็ง เต็มไปด้วยพลัง และมีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ รวมถึงเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถด้านนวัตกรรมและการเชื่อมโยง โดยการจะเปลี่ยนศักยภาพเหล่านี้ให้เป็นโอกาสที่แท้จริง จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของสหรัฐฯ ใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่
1) ความร่วมมือด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะ AI ซึ่งไทยเห็นว่า เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงขับเคลื่อนนวัตกรรม แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการหลอกลวงทางออนไลน์
2) การปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการแข่งขัน ด้วยการลดกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ทั้งนี้ ความตั้งใจของไทยที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD สะท้อนถึงความมุ่งมั่นดังกล่าว
3) การเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานมีความยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อเศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบันที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำถึงความตั้งใจของไทยที่จะร่วมมือกับทุกเขตเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมค่านิยมร่วมด้านในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประชาชนในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก
ไทม์ไลน์ภารกิจนายกฯวันที่30 ต.ค.นี้

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2568) เวลา 08.26 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เตรียมปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ในห้วงก่อนเข้าสู่การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
สำหรับภารกิจสำคัญของนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ประกอบด้วย 3 ภารกิจหลัก ได้แก่
1. ภารกิจส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีขั้นสูง ผ่านการหารือกับบริษัทชั้นนำด้านวัคซีนและนวัตกรรม
- เวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท SK Bioscience Co., Ltd. ณ โรงแรม Commodore Gyeongju ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตวัคซีนและมีผลิตภัณฑ์สำคัญ อาทิ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเซลล์เพาะเลี้ยง วัคซีนสุกใส วัคซีนงูสวัด และวัคซีนไข้ไทฟอยด์
2. ภารกิจสร้างความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนต่างชาติ
- เวลา 10.10 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงานและพบหารือกับผู้แทนกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ สมาชิกองค์กร U.S.-APEC Coalition ณ Salon Heritage ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากบริษัทสหรัฐฯ ชั้นนำ อาทิ Citi, Moody’s, Google, Microsoft, JP Morgan เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองด้านการค้า การลงทุน เทคโนโลยี และโอกาสความร่วมมือระหว่างไทย–สหรัฐฯ ภายใต้กรอบเอเปค
- เวลา 16.30 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจของเอเปคประจำปี 2568 (2025 APEC CEO Summit) ณ Gyeongju Arts Center พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Bridge.Business.Beyond” ซึ่งจะสะท้อนบทบาทของไทยในการขับเคลื่อนโอกาสทางเศรษฐกิจ การพัฒนานวัตกรรม และความเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก
3. การหารือทวิภาคีกับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อยกระดับความร่วมมือรอบด้าน
- เวลา 15.30 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับนายอี แช มย็อง (H.E. Mr. Lee Jae Myung) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ณ ศูนย์ประชุม Hwabaek International Convention (HICO) เมืองคยองจู เพื่อหารือกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการปราบ scammer
- เวลา 18.15 น. นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับ นายมาร์ก คาร์นีย์ (The Right Honourable Mark Joseph Carney) นายกรัฐมนตรีแคนาดา ณ โรงแรม Commodore Gyeongju เพื่อหารือกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัล
“ภารกิจในวันนี้ นับเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อความพร้อมของไทยในการเป็นพันธมิตรด้านการค้า การลงทุน และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคในอนาคต ควบคู่กับการกระชับความร่วมมือกับภาคธุรกิจและผู้นำเขตเศรษฐกิจสำคัญ อย่างเกาหลีใต้ และแคนาดา ก่อนเข้าสู่การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าเชิงรูปธรรมในระดับภูมิภาค” นายสิริพงศ์กล่าว
