In News

ภารกิจนายกฯร่วมประชุมเอเปคชงจุดเด่น ดันไทยเป็นสะพานเชื่อมการค้าและลงทุน



กรุงเทพฯ-นายกฯ เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นำเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) ชูจุดเด่นความได้เปรียบของไทยในการเป็น “สะพาน” การค้า การลงทุน และความเชื่อมโยงภูมิภาคพร้อมเสนอให้เอเปคยังคงรักษาเรื่องการความเปิดกว้างของตลาด การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงสร้างสะพานแห่งความร่วมมือ ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค รอบที่ 1 (Session I) ผลักดันเอเปคที่เปิดกว้าง ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และมุ่งสู่อนาคต และเมื่อวานกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ US–APEC Business Coalition ชม “คนละครึ่งพลัส” ส่งเสริม digital payment กระตุ้นการบริโภคภายใน ช่วยทั้งผู้ประกอบขนาดเล็ก เสริมบรรยากาศการค้า-การลงทุนภาคเอกชน

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2568) เวลา 12.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ ห้อง 300A ศูนย์ประชุม Hwabaek International Convention (HICO) ชั้น 3 เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders) โดยเป็นผู้แทน ABAC จากชิลี บรูไน จีน และมาเลเซีย  เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางส่งเสริมศักยภาพของไทยด้านเศรษฐกิจ และบทบาทของเอเปคในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ในหัวข้อเรื่อง “ศักยภาพของไทยในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และความเชื่อมโยงในภูมิภาค” นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงเสนอ 3 แนวทางดังนี้ 
1) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค (Enhancing Regional Connectivity) โดยไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชีย จึงเป็น “สะพาน” เชื่อมโยงเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และอาเซียน ทำให้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางด้านการค้า โลจิสติกส์ และการลงทุน ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิก และสร้างเส้นทางห่วงโซ่อุปทานใหม่ รวมถึงยกตัวอย่างความร่วมมือในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของการขนส่งสินค้าและการเดินทางระหว่างประเทศผ่านโครงการ APEC Safe Passage Corridor

2) การลงทุนเพื่ออนาคต (Investing in the Future) ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ที่มุ่งเน้นการดำเนินการระยะสั้นเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว ไทยส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) เซมิคอนดักเตอร์ ชีวเทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีและสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความครอบคลุมและเป็นธรรมสำหรับทุกคน

3) การขับเคลื่อนการเติบโตสีเขียวและยั่งยืน (Driving Green and Sustainable Growth) โดยภายใต้เป้าหมายกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Goals on the Bio-Circular-Green Economy ไทยเป็นผู้นำในการผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียว การลงทุนตามหลัก ESG และการเงินที่มีความรับผิดชอบ พร้อมขอบคุณสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคที่ให้คำมั่นสนับสนุนแนวทางดังกล่าว

นอกจากนี้ ไทยยังมีมาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมูลค่าสูง และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งตั้งเป้าการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายในปี 2573 เพื่อยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความร่วมมือใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับประเทศสมาชิกเอเปค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ภาครัฐเป็นผู้กำหนดทิศทาง แต่ภาคธุรกิจคือผู้ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นจริง ดังนั้นความร่วมมือกับ ABAC จึงมีความสำคัญมาก เชื่อมั่นว่าด้วยการทำงานร่วมกัน ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะสามารถสร้างความเชื่อมโยง ความสามารถในการแข่งขัน และความยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของประชาชนในทุกเขตเศรษฐกิจ

โอกาสนี้ ทาง ABAC ยังสอบถามถึงได้แนวทางที่เอเปคควรดำเนินการท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อสร้างภูมิภาคที่ยั่งยืน มีความพร้อมต่ออนาคต และสามารถคาดการณ์ได้

โดยนายกรัฐมนตรีเสนอว่า จุดแข็งของเอเปคอยู่ที่ความครอบคลุมและลักษณะความร่วมมือโดยไม่ผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งเปิดโอกาสให้ทดลองแนวคิดใหม่ ๆ สร้างความไว้วางใจ และเปลี่ยนศักยภาพให้เป็นโอกาสแห่งความร่วมมือ พร้อมเสนอให้เอเปคมุ่งเน้น 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ รักษาการเปิดกว้างของตลาด การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มกีดกันทางการค้าและความตึงเครียดทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เอเปคควรยึดมั่นในระบบพหุภาคีและกลไกการค้าเสรีบนพื้นฐานของกติกา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีบทบาทสำคัญในการใช้ศักยภาพเพื่อสร้างความไว้วางใจและส่งเสริมความร่วมมือ แทนที่จะสร้างความแบ่งแยก

นอกจากนี้ เอเปคจำเป็นต้องเตรียมภูมิภาคให้พร้อมต่ออนาคต ผ่านการส่งเสริมการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดิจิทัล และครอบคลุม โดยยึดตามวิสัยทัศย์ Putrajaya 2040 และเป้าหมายกรุงเทพฯ (Bangkok Goals) ควบคู่กับการลงทุนในพลังงานสะอาด การปรับตัวสู่ดิจิทัล และการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากระบบการเงินที่สอดคล้องกับหลัก ESG พร้อมเน้นย้ำว่า ความร่วมมือกับภาคเอกชนมีความสำคัญมาก หวังว่า ABAC จะยังคงแสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวสนับสนุนการเจ้าภาพเอเปคในปีหน้าของจีนอย่างเต็มที่ โดยเชื่อมั่นว่าจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือ เสถียรภาพ และโอกาสใหม่ให้กับภูมิภาค พร้อมทิ้งท้ายว่า “เอเปคจะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อสร้างสะพานแห่งความร่วมมือ ไม่ใช่กำแพงแห่งความแตกแยก และเอเปคได้ร่วมกันเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นความก้าวหน้าร่วมกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปครอบที่1 

เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ ห้อง 300C ศูนย์ประชุม Hwabaek International Convention Centre (HICO) เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 รอบที่ 1 (The 32nd APEC Economic Leaders’ Meeting – Session I) ภายใต้หัวข้อ “Towards a More Connected, Resilient Region and Beyond” พร้อมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม โดยมีสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณต่อประธานการประชุมและรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี สำหรับการต้อนรับและการจัดเตรียมการประชุมที่ยอดเยี่ยม พร้อมกล่าวต้อนรับการเข้าร่วมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในฐานะแขกรับเชิญของประธาน และขอบคุณผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ได้กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกประจำปี 2025 โดยกล่าวอ้างถึงถ้อยคำของผู้อำนวยการ IMF ที่ระบุว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่” ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน “ความร่วมมือไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น” พร้อมย้ำว่า เอเปคต้องคงไว้ซึ่งความเปิดกว้าง การมีส่วนร่วม และมุ่งสู่อนาคต เพื่อสร้างภูมิภาคที่มีความเข้มแข็งและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การค้าเสรีและตลาดที่เชื่อมโยงกัน คือรากฐานของความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ไทยสนับสนุนกรอบความร่วมมือที่ทันสมัย ครอบคลุม และตั้งอยู่บนกติกาสากล เพื่อให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจ MSMEs ให้ได้รับประโยชน์จากการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค

ขณะเดียวกัน การลงทุนควรเป็นแรงขับเคลื่อนทั้งด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน โดยไทยได้ดำเนินโครงการ Thailand FastPass เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนคุณภาพในสาขาพลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้การเติบโตในวันนี้ช่วยรักษาโลกให้คนรุ่นต่อไป

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ภาคเอกชนคือกำลังหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต โดยการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการปรับมาตรฐานดิจิทัลให้สอดคล้องกัน จะช่วยให้การค้าระหว่างเขตเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ไทยได้รับแรงบันดาลใจจากความร่วมมือในกรอบเอเปค และได้เริ่มกระบวนการเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD เพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยึดมั่นต่อมาตรฐานสากลและความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจ

ไทยยังมุ่งขยายความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจนอกภูมิภาค โดยในปีนี้ ไทยและจีนจะร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง และในปีหน้า ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Ministerial Meeting) และการประชุมประจำปีของ IMF และธนาคารโลก

“การประชุมเหล่านี้จะเป็นเวทีสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกเอเปคและนอกเอเปค เพื่อร่วมกันรับมือกับความท้าทายและเปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ เอเปคสามารถร่วมกันสร้างภูมิภาคที่เชื่อมโยง เข้มแข็ง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อประชาชนในวันนี้และคนรุ่นต่อไปในอนาคต” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกฯหารือกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯUS–APEC Business Coalition

เมื่อวานนี้ ณ Salon Heritage เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ได้หารือกับผู้แทนกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ สมาชิกองค์กร US - APEC Business Coalition พร้อมผู้เข้าร่วมจากภาคเอกชนหลากหลายบริษัท อาทิ Amazon, Boeing, Citi, Coupang, Johnson & Johnson, Mastercard, Merck, Moody’s, Paypal และ Organon เป็นต้น

ภายหลังเสร็จสิ้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้

ในช่วงแรก นาง Monica Hardy Whaley ประธาน National Center for APEC ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยที่เห็นถึงความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในไทยของภาคเอกชนต่างประเทศ และมีนโยบายที่ช่วยส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติ และสละเวลามาพบหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่เป็นสมาชิกเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวทักทายและขอบคุณ US–APEC Business Coalition ที่จัดการหารือครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ไทยได้พบปะกับพันธมิตรทางเศรษฐกิจสำคัญอย่างสหรัฐฯ ที่มีความร่วมมือมายาวนาน พร้อมย้ำถึงความสำคัญของภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในประเทศไทย

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงได้การพบปะหารือกับประธานาธิบดี ทรัมป์ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย และได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Framework for a United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) และยังได้พบอีกครั้ง ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งได้ย้ำถึงการขอให้พิจารณาเรื่องภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ต่อไทย โดยประธานาธิบดีทรัมป์รับปากที่จะให้ผู้แทนทางการค้าสหรัฐฯ หารือกับไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก สำหรับการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศยิ่งขึ้น ขอให้ทุกท่านมีความมั่นใจและขอยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนสหรัฐฯ และพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการลงทุนยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวการหารือกับหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา และในเดือนหน้าคณะ US–ASEAN Business Council จะเดินทางเยือนไทยเพื่อหารือเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก และแนวโน้มของนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายสินค้า แรงงาน และการลงทุนทั่วโลก ไทยยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่มีกฎกติกา และพร้อมทำงานร่วมกับกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น APEC และอาเซียน เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน สำหรับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าไทยกำลังเจรจาอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายสหรัฐฯ และเมื่อสัปดาห์ก่อน ไทยและสหรัฐฯ 

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง รัฐบาลจึงกำหนดนโยบายเชิงรุกและเร่งผลักดันผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ลดภาระหนี้ครัวเรือน สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ รวมทั้งมุ่งสร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดขั้นตอนการดำเนินธุรกิจให้เอื้อต่อผู้ลงทุนมากที่สุด  รวมทั้ง ขยายความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 24 ประเทศใน 17 ฉบับ และกำลังเร่งเจรจากับสหภาพยุโรป สาธารณรัฐเกาหลี และตุรกี ขณะเดียวกัน ไทยยังมีบทบาทเชิงรุกในกรอบเศรษฐกิจภูมิภาค เช่น อาเซียน BIMSTEC ACD และเอเปค รวมถึงตั้งเป้าเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายในปี 2573 เพื่อยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความยั่งยืน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ไทยกำลังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง ทั้งด้านโลจิสติกส์ ดิจิทัลไฟแนนซ์ และพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานและรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลเช่น โครงการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreements) ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมอนาคต พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ผ่านโครงการเพิ่มทักษะและทักษะใหม่ โดยตั้งเป้าผลิตแรงงานทักษะสูง 280,000 คนภายในปี 2571 รวมถึงความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำของสหรัฐฯ เช่น ข้อตกลงระหว่างมหาวิทยาลัย Arizona State และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ในด้านเซมิคอนดักเตอร์

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ เป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยในปี 2567 สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยและเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ไทยมีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศสูงสุดในรอบ 10 ปี รวม 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การลงทุนของภาคเอกชนไทยในสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไทยยังยินดีที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Amazon Web Services, Google และ Microsoft ได้ขยายการลงทุนในไทย โดยเฉพาะโครงการ data center และระบบคลาวด์ ซึ่งจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนสหรัฐฯ ร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมเกษตร–อาหาร ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงและพร้อมต่อยอดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากสหรัฐฯ

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณผู้แทนจากองค์กร US–APEC Business Coalition ที่ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง และย้ำความเชื่อมั่นว่าการหารือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ ให้เติบโตอย่างมั่นคง สร้างประโยชน์ร่วมกันแก่ภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศ

โอกาสนี้  ผู้แทนภาคธุรกิจสหรัฐฯ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมต่อความมุ่งมั่นของรัฐบาล ตลอดจนนโยบายด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส และพร้อมเข้ามาขยายการลงทุนในโครงการ digital payment ของรัฐบาล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ และต่างให้คำมั่นว่าจะลงทุนและขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง